คัด 12 หุ้น รับประโยชน์ “ตรง-อ้อม” จีนเปิดประเทศ

บล.โนมูระ พัฒนสิน คัด 12 หุ้น ธีมรับประโยชน์ทางตรง และอ้อม จากประเด็นจีนเปิดประเทศ


ประเทศจีนยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 66 เป็นต้นไป ถือว่าเร็วกว่าที่ทาง บล.โนมูระ พัฒนสิน ประเมินไว้ในกรณี Base Case ว่าจีนจะเปิดประเทศในช่วงปลาย มี.ค.66 และเข้าสู่กรณี Best Case  คือ การเปิดประเทศเริ่มตั้งแต่ต้นปี 66 ล่าสุดพบว่ากระแสการเดินทางมีความคึกคักอย่างมาก

โดยอิงจากการเติบโตจำนวนผู้ใช้บริการทุกสนามบินของ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ช่วงระหว่างวันที่ 1-7 ม.ค. และ 1-14 ม.ค. 66 พบว่า เติบโต 720.70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยเร่งตัวขึ้นจาก 1-7 ม.ค. ที่เติบโต 699.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ในปัจจุบันประเทศไทยมียอดการค้นหาเที่ยวบินจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากเป็นอันดับ 1 จากรายงานของ Sojern แพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัลชั้นนำ สัดส่วน 26.75% สูงสุดเป็นอันดับ 1 ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ใกล้เข้ามา

ดังนั้นการเปิดประเทศใหม่ของจีนหลังจากล็อกดาวน์ที่เร็วนี้ย่อมส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจจีนด้วย กรณี Best Case Nomura ประเมิน GDP จีนปี 66 จะเติบโตสูง เพิ่มขึ้น 5.5% (จาก Base Case ที่ 4.8%) จะส่งผลบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ทำให้โดยรวมจึงถือเป็นภาพบวกต่ออุตสาหกรรมและหุ้นต่างๆ ที่มีฐานรายได้จากประเทศจีน สอดรับภาพที่เริ่มเห็น Consensus ทยอยปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกจากผลบวกดังกล่าวในขณะนี้

ทั้งนี้ ภายใต้สมมติฐานนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยปี 66 ของทาง บล.โนมูระ พัฒนสิน ปัจจุบันราว 28 ล้านราย ซึ่งจะส่งผลให้ GDP ไทยปี 66 เติบโตได้ 3.8%  และประเมินภายใต้สมมติฐาน Base Case ว่าการเปิดประเทศของจีนจะเกิดขึ้นปลายไตรมาส 1/66 เทียบกับช่วงเวลาการเปิดประเทศของจีนตั้งแต่ต้นปี คือ วันที่ 8 ม.ค. 66 จะเข้าข่ายสมมติฐานกรณี Best Case ของทางฝ่ายวิจัยซึ่งจะส่งผลให้ GDP ไทยปี 66 เติบโตได้เพิ่มขึ้น 4.4% หากนักท่องเที่ยวจีนกรณี Base Case อยู่ที่ 5.5 ล้านคน ส่วน Best Case อยู่ที่ 7.5 ล้านคน

สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ กลุ่มที่คาดได้ประโยชน์สูง คือ กลุ่มที่มีสัดส่วนรายได้จากลูกค้าจีนทางตรงสัดส่วนสูง อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว รวมถึงการบิน (3%-55% ของรายได้รวม), กลุ่มเกษตรและอาหาร (10%-15% ของรายได้รวม), กลุ่มชิ้นส่วนฯ (15%-21% ของรายได้รวม), กลุ่มโรงเรียน (12% ของรายได้รวม), กลุ่มแพ็คเกจจิ้ง (6% ของรายได้รวม), กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (1%-23% ของรายได้รวม), กลุ่มร้านอาหาร รวมเครื่องดื่ม (3%-9% ของรายได้รวม), กลุ่มค้าปลีก (1%-4% ของรายได้รวม), กลุ่มโรงพยาบาล (2%-3% ของรายได้รวม) และกลุ่มนิคม (12%-30% ของพอร์ตลูกค้า)

ส่วนอุตสาหกรรมที่คาดได้ประโยชน์ทางอ้อมจากเศรษฐกิจจีน/ในประเทศดีขึ้น คือ กลุ่มธนาคาร กลุ่มเช่าซื้อ กลุ่มร้านอาหาร-เครื่องดื่มอื่นๆ กลุ่มพลังงาน

ด้วยผลบวกต่อกำไรตลาด ภายใต้คาดการณ์กำไรตลาดปี 66 ของบล.โนมูระ พัฒนสิน ปัจจุบันที่ 105 บาทต่อหุ้น อิงสมมติฐานอนุรักษ์นิยม รวมผลบวกกำไรส่วนเพิ่มจากหุ้นในกลุ่มที่มีฐานลูกค้าจีนโดยตรงเท่านั้น พบว่าทุกๆ นักท่องเที่ยวจีนที่สูงกว่าสมมติฐาน 1.5 ล้านคน จะเพิ่มกำไรปี 66 ราว 2.11 พันล้านบาท เท่ากับกำไรตลาดต่อหุ้นราว 0.2 บาท โดยไม่รวมผลประโยชน์ทางอ้อมอีกหลายส่วน

ดังนั้น แนวโน้มนักท่องเที่ยวจีนที่กลับมาในระดับสูงกว่าคาด เชื่อว่าจะเปิด Upside กำไรตลาดปี 66 เพิ่มมากขึ้น ผสาน อานิสงส์เชิงบวกระยะถัดไป จากประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งจะมีเม็ดเงินสะพัดหนุนเศรษฐกิจในประเทศอีกด้าน ทีมกลยุทธ์เชื่อว่า SET จะปรับตัวขึ้นผ่านแนวต้านสำคัญที่ 1,700 จุดได้ และหลังจากนั้น SET Index จะค่อยๆแกว่งตัวขึ้นสู่ดัชนีเป้าหมายปลายปี 66 ที่ 1,800 จุด

อย่างไรก็ตามจากประเด็นข้างต้นแนะนำ 12 หุ้นเด่นในธีมจีนเปิดประเทศ ได้แก่ AAV, AOT, SPA, NER, CBG, SISB, SCGP, AP, CPALL, CRC, MAKRO และ AMATA เป็นต้น

Back to top button