สปอยล์งบปี 65 กลุ่ม “ปตท.” กวาดกำไร 2 แสนล้าน TOP โตเฉียด 2 เท่าตัว!

สปอยล์งบปี 65 เครือ “ปตท.” กวาดกำไรทะลุ 2 แสนล้าน TOP โตสูงสุดเฉียด 2 เท่าตัว แตะ 3.47 หมื่นลบ. ตามด้วย PTTEP พุ่งขึ้น 72% มาที่ 6.69 หมื่นลบ.


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมบทวิเคราะห์ต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดปี 65 ของ 7 บริษัทในเครือ “ปตท.” ประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC และบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR โดยอ้างอิงจากบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ดังนี้

โดยคาดการณ์ว่างวดไตรมาส 4/65 กำไรสุทธิของ PTT เติบโตเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจก๊าซมีอัตรากาไรเพิ่ม หลังปรับราคา ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี และโรงกลั่น คาดไม่มี Stock loss ก้อนใหญ่เหมือนไตรมาส 3/65 รวมถึงปริมาณขายฟื้นได้ตามฤดูกาล โดยคาดกำไรปี 65 ที่ 9 หมื่นล้านบาท ลดลง 8% เมื่อเทียบจากปีก่อน และกำไรปี 66 ที่ 1.31 แสนล้านบาท เติบโต 32% เมื่อเทียบจากปีก่อน โดยธุรกิจก๊าซฯมีแนวโน้มฟื้นตัว จากต้นทุนก๊าซลง และปริมาณขายเพิ่ม ประเมินราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 50 บาท/หุ้น

ส่วน PTTEP มอง Negative ต่อกำไรสุทธิไตรมาส 4/65 ราว 11,574 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ลดลง 52% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน โดยลดลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีรายการพิเศษที่เข้ามามาก อย่างไรก็ตามราคาหุ้นที่ปรับลงนับแต่ปลายพ.ย.65 ราว 10% น่าจะสะท้อนประเด็นดังกล่าวไประดับหนึ่งแล้ว หากถอดรายการพิเศษออก คาดกำไรปกติ ไตรมาส 4/65 ราว 23,598 ล้านบาท เติบ 100% เมื่อเทียบจากปีก่อน  และเติบโต 4% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้เติบโตเมื่อเทียบจากปีก่อนเนื่องจากได้ทั้งปริมาณขายที่เร่งตัวตามการผลิตและแหล่งใหม่ รวมถึงราคาขายที่ได้ supply พลังงานตึงตัวหนุน ส่วนเติบโตเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนเพราะปริมาณขายแหล่งใหม่เป็นหลัก อย่างไรก็ดีได้ปรับลดกำไรปกติปี 66 ลง 10% สะท้อนราคาน้ำมันดิบที่ต่ำกว่าคาดจากความต้องการใช้ทั่วโลกน้อยกว่าคาด (หนาวน้อย+เศรษฐกิจฟื้นช้า) ยังคงคำแนะนำ “Trading Buy” ต่อ PTTEP ปรับราคาเป้าหมายปี 66 ลงเป็น 178 บาท/หุ้น มองเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรรับการฟื้นตัวของกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 หลังรายการพิเศษเข้ามาฉุดน้อยลง และคาดมีปัจจัยหนุนราคาน้ามันดิบฟื้นช่วง ก.พ.

ขณะที่ PTTGC มอง Neutral ต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/65 คาดขาดทุนสุทธิราว 407 ล้านบาท (พลิกขาดทุนเมื่อเทียบจากปีก่อน แต่ฟื้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน) ใกล้เคียงที่เคยคาด เพราะ fx gain ที่มากกว่าคาด ชดเชย stock loss และอัตรากำไรปิโตรเคมีที่ต่ำกว่าคาดได้

ทั้งนี้คาดไตรมาส 1/66 จะพลิกมีกำไรเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เพราะไม่มีปิดซ่อมโรงกลั่น, stock loss ลดลง และ spread PE ฟื้นตามความต้องการใช้ของจีนหลังเปิดเมืองและเป็นช่วง re-stock (QTD ฟื้นแล้ว 3-17% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” ต่อ PTTGC ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 68 บาท/หุ้น และเลือกเป็น top pick มองเป็นบริษัทที่ปี 66 ฟื้นตัวเด่นกว่ากลุ่ม และฟื้นตัวได้เร็วกว่าจากความได้เปรียบด้านต้นทุน

ด้าน TOP มอง Negative ต่อแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 4/65 ของ TOP ที่ 651 ล้านบาท ลดลง 87% เมื่อเทียบจากปีก่อน แต่เติบโตเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จาก stock loss ที่สูงกว่าคาด หากตัดรายการพิเศษ fx gain ออก คาดพลิกขาดทุนปกติราว 1,607 ล้านบาท ฉุดจาก stock loss ก้อนใหญ่ (รายการที่ไม่กระทบต่อเนื่องไปปีอื่น) กลบ operation ที่ดีขึ้นทั้ง ค่าการกลั่น และอัตรากาไรธุรกิจปิโตรเคมี

ทั้งนี้คาดกำไรปกติปี 66 จะลดลงเมื่อเทียบจากปีก่อน ตามค่าการกลั่นที่ลดลงกลับสู่ระดับปกติ ขณะที่ในปี 65 ที่ supply ตึงตัวมากจากสงครามรัสเซียฯ อย่างไรก็ตามกาไรยังอยู่ในระดับสูงกว่า pre-COVID ทั้งนี้คงคำแนะนำ  “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 80 บาท/หุ้น มองซื้อลงทุนยาวในช่วงที่ราคาอ่อนตัวจากการปรับฐานของกำไร บนความสามารถทำกำไรที่ดีกว่า pre-COVID และเติบโตในระยะยาวหลังโครงการ CFP เริ่ม COD

ขณะที่ GPSC มอง Negative ต่อแนวโน้มขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/65 ราว 321 ล้านบาท ต่ำกว่าที่เคยประเมิน เพราะต้นทุนถ่านหินสูงกว่าคาด และส่วนแบ่งกำไรฯ ไซยะบุรีต่ำคาด โดยกำไรที่แย่ลงเมื่อเทียบจากปีก่อน เพราะ GPM การขายไฟลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ที่ลดลงจากค่าไฟขึ้นช้ากว่าต้นทุนพลังงาน ส่วนการแย่ลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน เพราะ economy of scale ที่แย่ลงจากลูกค้ามีปิดซ่อมและลดการใช้ไฟฟ้า+ไอน้า และส่วนแบ่งกำไรฯ ไซยะบุรีเป็น low season

ทั้งนี้มองประเด็นกดดันในไตรมาส 4/65 ผ่านจุดแย่สุดไปแล้ว แนวโน้มราคาถ่านหิน และ LNG คาดลดลงในไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 4/66 ในขณะที่ค่าไฟฟ้าเพิ่มตาม ft มองราคาหุ้นที่ปรับลงใน 26 ม.ค.66 ราว 7% สะท้อนความผิดหวังของตลาดไปมากแล้ว มองเป็นโอกาสซื้อรับการฟื้นตัวของกำไรในปี 66 โดยฟื้นตั้งแต่ไตรมาส 1/66 จากต้นทุนก๊าซฯ และถ่านหินที่ลดลง ในขณะที่ ft เพิ่ม คงคำแนะนำ  “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 84 บาท/หุ้น

ส่วน IRPC มอง Negative ต่อแนวโน้มขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/65 ของ IRPC ที่ราว 7,474 ล้านบาท พลิกขาดทุนเมื่อเทียบจากปีก่อน และขาดทุนมากขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และต่ำกว่าที่เคยประเมิน เพราะ stock loss ก้อนใหญ่ ที่เกิดจากการตุนน้ามันดิบมากกว่าปกติในช่วงปิดซ่อม ในขณะที่ราคาน้ำมันลง นอกจากปัจจัย stock ยังมีการปิดซ่อมใหญ่โรงกลั่นที่ทำให้ปริมาณขายและอัตรากาไรลดลง และ oversupply ที่ฉุดอัตรากำไรปิโตรเคมีด้วย

ทั้งนี้มองแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 4/65 ที่ทำให้ภาพปีพลิกเป็นขาดทุนจะกดดันราคาหุ้นในระยะสั้น ส่วนการพลิกทำกำไรในไตรมาส 1/66 หลักๆ มาจากกลับรายการ LCM ซึ่งหากตัดออกจะยังขาดทุน เพราะอัตรากำไรปิโตรเคมี (ธุรกิจหลัก) ยังอยู่ในระดับต่ำไม่พอกลบค่าใช้จ่ายคงที่ คงคำแนะนำ “ซื้อ” ต่อ IRPC ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 4.3 บาท/หุ้น มองสามารถรอความชัดเจนการฟื้นของการใช้เม็ดพลาสติกจีนก่อนค่อยสะสมรับครึ่งหลังปี 66 ที่คาดฟื้นตัวเมื่อเทียบจากครึ่งปีแรก

ขณะเดียวกันมอง Negative ต่อแนวโน้มขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/65 ของ OR ที่ราว 809 ล้านบาท พลิกขาดทุนจากปีก่อนและไตรมาสก่อน ต่ำกว่าที่เคยประเมิน เพราะกำไรขั้นต้นต่อลิตรของธุรกิจ Mobility ถูกกระทบจากต้องนาเข้าน้ำมันที่ต้นทุนสูงกว่าการซื้อในประเทศมาขายในช่วงที่ supply ในประเทศขาดแคลนจากการปิดซ่อมโรงกลั่น ซึ่งสาเหตุดังกล่าวเป็นตัวฉุดผลประกอบการ

อย่างไรก็ตามคาดผลกระทบดังกล่าวจะจบในไตรมาส 4/66 ส่งให้อัตรากำไรฟื้นในไตรมาส 1/66 และกลับมาพลิกทำกำไรได้ ทั้งนี้เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 65-66 ลง 18% และ 13% ตามลำดับ พร้อมกับปรับราคาเป้าหมายปี 66 เป็น 26 บาท/หุ้น (เดิม 29) คงคำแนะนำ “Trading Buy” มองรอผ่านช่วงประกาศงบฯ ไตรมาส 4/65 ไปก่อน จึงเป็นโอกาสซื้อเก็งกำไรการฟื้นตัวของธุรกิจทุกส่วนในปี 66 และระยะยาว

Back to top button