เปิดโผ 10 หุ้น ราคาพุ่งแรงเดือน ม.ค. นำโด่ง TRC ทะยาน 97%

เปิดโผ 10 อันดับหุ้นกลุ่ม SET ราคาพุ่งแรงเดือนมกราคม TRC, STI, SKY, MPIC, BWG, FORTH, SISB, TEGH, TEAM และ DMT โชว์ปรับสูงสุด TRC ทะยาน 96.55%


ดัชนี SET Index เดือนมกราคม 2566 แกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ โดยปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ 1,671.46 จุด ขณะที่เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2565 ปิดที่ระดับ 1,668.66 จุด ปรับตัวขึ้น 2.80 จุด หรือขึ้นไป 0.16%

สำหรับดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบ ๆ เนื่องจากนักลงทุนเข้าเก็งกำไรหุ้นรายตัวเป็นส่วนใหญ่ช่วยประคับประคอง โดยเฉพาะเก็งกำไรกระจายไปยังหุ้นขนาดใหญ่ และขนาดกลางเป็นหลัก หลังจากราคาหุ้นบางตัวเข้าเขต Oversold มากเกินไปในช่วงก่อนหน้าจึงทำให้เข้ามาไหล่ซื้อเข้าพอร์ต ประกอบกับรับปัจจัยภายในประเทศได้รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวหลังจากนักท่องเที่ยวกลับมาคึกคัก

นอกจากนี้ มีการเข้าเก็งกำไรหุ้นรับอานิสงส์จากจีนประกาศเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 เป็นต้นมา หลังสถานการณ์โควิดในประเทศจีนคลี่คลายลง ทำให้ช่วยเพิ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศมากขึ้น

 “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ปรับตัวขึ้นไปในทิศทางตลาดหุ้นแล้วสามารถชนะดัชนีโดยปรับตัวขึ้นในเดือนมกราคมกว่า 20% ขึ้นไป โดยคัดมา 10 อันดับแรก ได้แก่   TRC, STI, SKY, MPIC, BWG, FORTH, SISB, TEGH, TEAM และ DMT ตามลำดับ ซึ่งหุ้นดังกล่าวค่อนข้างมีสภาพคล่อง และมีประเด็นบวกเฉพาะ รวมถึงพบว่าผลประกอบการสามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงในช่วงดังกล่าว

บริษัท ทีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRC โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 0.29 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 0.57 บาท บวกไป 0.28 บาท หรือขึ้นไป 96.55% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นร้อนแรงรับข่าวจากครม. ได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมการลงทุนโครงการทำเหมืองแร่โปแตช อ.บำเหน็จณรงค์ จ.ชัยภูมิ วงเงิน 63,800 ล้านบาท ถือเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อ TRC อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจาก TRC มีสัดส่วนการถือหุ้นใน “อาเซียนโปแตชชัยภูมิ” ประมาณ 25.13% ถือว่ามีทิศทางสอดคล้องกับมติครม.เรื่องแนวทางปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท “อาเซียนโปแตชชัยภูมิ” ด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ บริษัทได้ดึงพันธมิตรอย่าง บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และรัฐบาลมาเลเซียเข้าเพิ่มทุน 20,000 ล้านบาท โดยทาง EA จะถือหุ้น 25% รัฐบาลมาเลย์ร่วมด้วย 10% ส่วนกระทรวงการคลังพร้อมรักษาสัดส่วนถือหุ้น 20% ล่าสุด “อันวาร์ อิบราฮิม” ล็อกคิวบินตรงร่วมปิดดีล 10 ก.พ.นี้

บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 4.96 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 8.30 บาท บวกไป 3.34 บาท หรือขึ้นไป 67.34% เนื่องด้วยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเหตุ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ แคปปิตอล จำกัด หรือ UVCAP บริษัทย่อยของกลุ่ม UV ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ STI เข้าซื้อหุ้น STI เพิ่มอีก 72.36 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 12% ของหุ้นที่ชำระแล้วทั้งหมดของ STI ในราคาหุ้นละ 5.60 บาท มูลค่าการลงทุนรวม 405.22 ล้านบาท

นอกจากนี้ คาดว่าผลประกอบการปี 2566 เติบโตเนื่อง หลังบริษัทได้รับงานใหม่เข้ามาต่อเนื่อง เพราะหากดูภาพรวมอุตสาหกรรมทั้งภาคเอกชน และภาครัฐมีการขยายงานโครงการต่างๆ มากขึ้น

บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 12.70 บาท เมื่อเทียบกับราคาปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 21.00 บาท บวกไป 8.30 บาท หรือขึ้นไป 65.35% สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นการเข้าเก็งกำไรทางเทคนิคช่วงขาขึ้น  พร้อมนักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรว่าบริษัทจะได้รับผลดีจากการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว หลังการเปิดประเทศส่งผลให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น

ขณะที่ล่าสุดบริษัทได้เพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 45.61 ล้านบาท จากเดิมจำนวน 312.13 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 357.74 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 91.21 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ (พาร์) 0.50 บาท เพื่อจัดสรรเสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวน 31.21 ล้านหุ้น อัตราส่วน 20 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 13 บาท

ขณะเดียวกันเสนอขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) หุ้นเพิ่มทุนรวม 60 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 16.80 บาท ให้กับบุคคลธรรมดาจำนวน 3 ราย ให้แก่ 1.นายปรินทร์ โลจนะโกสินทร์ จำนวน 35 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 588 ล้านบาท 2. นายสุระ คณิตทวีกุล จำนวน 20 ล้านหุ้น เป็นมูลค่า 336 ล้านบาท และ 3. นายทนุธรรม เกียรติไพบูลย์ จำนวน 5 ล้านหุ้น เป็นมูลค่า 84 ล้านบาท

การระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้น RO มีวัตถุประสงค์ของการออกหุ้นเพื่อนำเงินมาใช้ในการประกอบธุรกิจ รวมถึงเพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทโดยจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนเพื่อค้ำประกันวงเงินสินเชื่อสำหรับโครงการทั้งที่ได้รับงานในปัจจุบันและโครงการที่จะได้รับงานในอนาคต และเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการบริหารงานโครงการซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

ส่วนการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ PP มีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการขยายการลงทุนในอนาคต เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ โดยเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินโครงการของบริษัทฯ อีกกว่า 10 โครงการที่บริษัทและบริษัทย่อยมีแผนจะเข้าประมูลงานเพิ่มเติม ทั้งบริการทางการบิน ดิจิตัลแพลตฟอร์ม และบริการอินเตอร์เน็ต รวมถึงมีพันธมิตรทางธุรกิจที่อาจช่วยส่งเสริมและต่อยอดธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต

บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 0.73 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 1.04 บาท บวกไป 0.31 บาท หรือขึ้นไป 42.47% สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมานั้นคาดมาจากประเด็นที่บริษัทลูกอย่าง ETC ได้มีการเข้าร่วมประมูลโรงไฟฟ้าจากขยะอุตสาหกรรม จำนวน 10 โรง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันบริษัทได้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกทั้ง 10 โรง ในรอบแรกและรอบที่สอง

ขณะที่บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า บริษัทจะผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้ายที่จะประกาศในวันที่ 25 มีนาคม 2566 อย่างน้อย 5 โรง และจะสามารถ COD ได้เลยภายในปี 2568  โดย ETC เป็นบริษัทในกลุ่ม BWG ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รับบริหารกำจัดกากอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และมีโรงงานผลิตขยะอัดก้อน (RDF) ที่มีกำลังการผลิตประมาณ 500,000 ตันต่อปี ทำให้ ETC มีความมั่นคงด้านเชื้อเพลิงรวมถึงข้อได้เปรียบด้านคุณภาพและต้นทุนเชื้อเพลิง

ทั้งนี้ ยังคงมองแนวโน้มผลประกอบการปี 2566 จะกลับมามีกำไรอีกครั้ง บริษัทจะมีกำไร 85 ล้านบาท จากปี 2565 ที่คาดว่าจะมีขาดทุน 76 ล้านบาท ด้วยแนวโน้มอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น ประเมินว่าธุรกิจรับกำจัดขยะอุตสาหกรรมน่าจะโตได้ราว 10% และมี Gross Margin ที่ดีขึ้นมาอยู่ที่ 20% จากปี 2565 ที่มาร์จิ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 10% ซึ่งมาจากภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาดีขึ้นส่งผลให้ปริมาณของขยะอุตสาหกรรมที่ต้องกำจัดเพิ่มขึ้น

บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FORTH โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 32.25 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 1.04 บาท บวกไป 0.31 บาท หรือขึ้นไป 42.47% ดีดตัวขึ้นมาแรงตอบรับแผนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ “ตู้กิ้งก่า EV” ซึ่งเป็นตู้เติมเงินเพื่อให้บริการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า ทำให้นักลงทุนให้ความสนใจกระแส EV และมีมุมมองบวก ตู้กิ้งก่า EV ที่ไม่จำเป็นต้องมีแอพพลิเคชั่น เป็นการต่อยอดของตู้เต่าบิน ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในไตรมาส 2 ปีนี้

อีกทั้งบริษัทเตรียมนำบริษัท ฟอร์ท อีเอ็มเอส จำกัด ประกอบธุรกิจด้านการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และบริษัท ฟอร์ท เวนดิ้ง จำกัด ซึ่งประกอบธุรกิจ Robotic Barista เต่าบิน” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อเดินหน้าขยายตู้เต่าบินอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงขยายไปต่างประเทศด้วย อาทิ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ สิงคโปร์ ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรในแต่ละประเทศ

บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือ SISB โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 19.20 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 24.40 บาท บวกไป 5.20 บาท หรือขึ้นไป 27.08% สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นร้อนแรงนักลงทุนเข้าเก็งกำไรว่าแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ มีการพัฒนาการด้านบวกของการกลับเข้าทำการเรียนการสอนในโรงเรียนในปีนี้ โดยพิจารณาจากจำนวนนักเรียนที่เข้าเรียน และประมาณการจำนวนนักเรียนใหม่ปี 2566 ไว้ที่ 3,700 คน เพิ่มขึ้น 600 คน จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้จำนวนนักเรียนที่เพิ่มขึ้นจะมีแรงหนุนจากการเปิดโรงเรียนใหม่ รวมถึงการเติบโตตามปกติของโรงเรียนที่เปิดดำเนินการอยู่ในปัจจุบันการเติบโตตามปกติของโรงเรียน หลังจากจีนกลับมาเปิดประเทศเป็นปัจจัยกระตุ้นด้านบวก

บริษัท เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GEL โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 0.26 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 0.33 บาท บวกไป 0.07 บาท หรือขึ้นไป 26.92% สำหรับราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นเข้ามาเก็งกำไรว่าผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตแข็งแกร่ง หลังจากบริษัทคาดว่ารายได้ปี 2566 จะเติบโตแตะ 6 พันล้านบาท หลังจากที่บริษัทซื้อกิจการ “อินโน พรีคาสต์” ธุรกิจผลิตคอนกรีตสำเร็จรูปในเครือ บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุนแลกเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 51% มูลค่า 581.91 ล้านบาท และยังคาดว่าจะผลักดันให้ผลประกอบการในช่วงต่อจากนี้เติบโตอย่างต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 5-10%

บริษัท ไทยอีสเทิร์น กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEGH โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 4.74 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 5.90 บาท บวกไป 5.20 บาท หรือขึ้นไป 24.47% โดยนักลงทุนเข้าเก็งกำไรหลังจากบริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิตยางแท่งมาอยู่ประมาณ 430,000 ตันในปี 2567 จากกำลังการผลิตปัจจุบัน 320,000 ตัน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตยางแท่ง Top 5 ของประเทศไทย

อีกทั้งบริษัทมีการประเมินรายได้ปี 2566 โต 10% เดินหน้าขยายกำลังผลิตยางแท่งอีก 1.3 แสนตันต่อปี เจาะกลุ่มตลาดลูกค้ายางล้ออินเดียและจีนเพิ่ม เพื่อรองรับดีมานด์สูงขึ้น รวมถึงเตรียมเดินเครื่องผลิต “ไบโอแก๊สเฟส 1” ส่วนขยายไตรมาสนี้ ขณะที่บล.ทรีนีตี้ คาดกำไรปี 2566 อยู่ที่ 821 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน

บริษัท ทีมพรีซิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TEAM โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 7.80 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 9.55 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 22.44% สำหรับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเป็นการกลับตัวขึ้นรอบใหม่ หลังจากปรับฐานในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งอาจเป็นเพราะบริษัทเริ่มจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ต่อเนื่องหลังช่วงท้ายปี 2565 รวมถึงมีการคว้างานใหม่จากภาครัฐและเอกชนไปจำนวน 9 โครงการ มูลค่า 472 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้

บริษัท ทางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ DMT โดยราคาปิด ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2565 อยู่ที่ระดับ 10.90 บาท เมื่อเทียบกับราคา ปิด ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อยู่ที่ระดับ 13.20 บาท บวกไป 2.30 บาท หรือขึ้นไป 21.10% โดยเป็นการเข้าลงทุน หลังบริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้เติบโตเกิน 30% จากปีก่อน เนื่องจากคาดการณ์ปริมาณการจราจรเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 110,000 คันต่อวัน พร้อมเตรียมวางงบ 434 ล้านบาท เดินหน้าพัฒนางานด้านเทคโนโลยีฯ ในการเข้าประมูล 3 โครงการ

Back to top button