BBL รับเต็มดอกเบี้ยขาขึ้น ย้ำฐาน “สินเชื่อรายใหญ่” สัดส่วน 43%

BBL หุ้นท็อปพิกดอกเบี้ยขาขึ้น บล.เอเซีย พลัส ชี้ได้ประโยชน์สูงสุด มีสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่ 43% คงแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 174 บาท


สถานการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2566 สดใสขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว แต่การฟื้นตัวยังคงมีความไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่อิงกับภาคส่งออกและรายย่อยเผชิญกับภาวะค่าครองชีพสูงขึ้น ภาพดังกล่าวทำให้สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ที่มีความสามารถส่งผ่านต้นทุนสินค้าได้ดีกว่า

รวมทั้ง Balance sheet แกร่งกว่าน่าจะเสี่ยงต่ำกว่าสินเชื่อกลุ่มข้างต้น ประกอบกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการออกหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่ขยับตามกลไกลตลาด จึงทำให้ในกรณีที่ กนง. มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงต่อจากนี้ อัตราดอกเบี้ย MLR ที่ส่วนใหญ่เรียกเก็บกับลูกค้ารายใหญ่ จะถูกปรับขึ้นในอัตราสูงกว่า MOR และ MRR

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด จากประเด็นดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นคาด ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ที่มีสินเชื่อรายใหญ่มากสุดในกลุ่มฯ จะได้รับประโยชน์จากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุด เนื่องจาก BBL มีสัดส่วนสินเชื่อรายใหญ่ที่ 43% VSSCB ที่ 36%, ขณะที่ KBANK ที่ 35% และ KTB ที่ 27% ของพอร์ตสินเชื่อ

โดยภายหลัง กนง. ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งที่ 4 ที่ 0.25% มาเป็น 1.50% ทำให้ BBL ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MOR, MLR และ MRR ที่ 0.15%, 0.20% และ 0.15% ต่อปี ตามลำดับ ต่อเนื่องจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ย M-Rate อย่างละ 0.40% เพื่อชดเชยการนําส่งเงินเข้ากองทุน FIDF กลับสู่ระดับปกติที่ 0.46% ของเงินฝาก (เดิม 0.23% ของเงินฝาก) ตั้งแต่ต้นปีหนุนอัตราดอกเบี้ย MOR, MLRและ MRR ปัจจุบันอยู่ที่ 6.90%, 6.45% และ 6.80% ต่อปี ตามลำดับด้วยแรงหนุนจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ผสานกับการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และการเลือกตั้งที่กําลังจะเกิดขึ้นในปีนี้

ประกอบกับระดับ Coverage Ratio (LLR/NPL) ณ สิ้นงวดไตรมาส 4/2565 ที่ 261% สูงสุดในกลุ่มฯ (ค่าเฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 177%) หรือหากพิจารณาในเชิง LLR / Loan อยู่ที่ 9.4% มากสุดในกลุ่มฯ เช่นกัน (เฉลี่ยกลุ่มฯ ที่ 6.3%) ประเมินช่วยให้ Credit Cost อยู่ในการบริหารจัดการ ภายใต้headwind จากเศรษฐกิจโลก องค์ประกอบรวมคาดการณ์กําไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท เติบโต 16% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน

ดังนั้น คงแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 174 บาท โดยแนวโน้ม NII มีพัฒนาการเด่นชัด ตามการปรับขึ้นดอกเบี้ย กอปรกับคุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึง CoverageRatio แกร่ง ในด้าน Valuation มี PBV ไม่แพงซื้อขายที่ 0.56 เท่าพร้อมคาดเงินปันผลครึ่งหลังของปี 2565 ไว้ 2.75 บาทต่อหุ้น อิงจากสมมติฐานทั้งปีที่ 4.25 บาทต่อหุ้น (ครึ่งแรกของปี 2565 จ่าย 1.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dividend payout ratio ที่ 28% ขณะที่ปี 2564 ที่ 25.2%)

Back to top button