“ดาวโจนส์” เปิดบวก ขานรับผลประกอบการแกร่ง

“ดาวโจนส์” เปิดบวก ขานรับผลประกอบการ“เซลส์ฟอร์ซ-เมซีส์” สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์นักวิเคราะห์ โดย ณ เวลา 22.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,776.00 จุด บวก 83.00 จุด หรือ 0.25%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นในวันนี้(2 มี.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดย ณ เวลา 22.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 32,776.00 จุด บวก 83.00 จุด หรือ 0.25%

โดยหุ้นของบริษัทเซลส์ฟอร์ซ และเมซีส์ อิงค์ พุ่งขึ้นในวันนี้ หลังเปิดเผยผลประกอบการสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์

อย่างไรก็ดี ช่วงบวกของดัชนีดาวโจนส์ถูกจำกัด หลังสหรัฐเปิดเผยข้อมูลบ่งชี้ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 2,000 ราย สู่ระดับ 190,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 195,000 ราย

ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน และอยู่ต่ำกว่าระดับ 200,000 รายติดต่อกันเป็นเวลา 7 สัปดาห์

ขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่อง ลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 1.65 ล้านราย

นอกจากนี้ ตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่อนโยบายการเงินของเฟด พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 5% ในวันนี้ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ยืนเหนือระดับ 4% ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงกว่าและนานกว่าคาดเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์ทำให้นักลงทุนวิตกว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ ส่วนการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ซึ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยจำนองของสหรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคมีเงินสำหรับการใช้จ่ายลดน้อยลง และบริษัทต่างๆจะเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ทำให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

นักลงทุนเพิ่มคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนมี.ค. และเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแตะระดับสูงสุดในกรอบ 5.50-5.75% ในเดือนก.ย. รวมทั้งเฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้

การคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้น ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดต่างแสดงความเห็นสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือนนี้ หลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูง

นายราฟาเอล บอสติก ประธานเฟด สาขาแอตแลนตา กล่าวว่า เฟดจำเป็นที่จะต้องคุมเข้มนโยบายการเงินไปจนถึงปี 2567 ขณะที่การต่อสู้กับเงินเฟ้อยังคงดำเนินต่อไป

“ประวัติศาสตร์สอนเราว่า ถ้าเราผ่อนคลายการดำเนินการกับเงินเฟ้อก่อนที่มันจะหมดฤทธิ์ลง มันก็จะปะทุขึ้นมาใหม่ ทำให้เราต้องพิจารณาให้ดีว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวลงโดยไม่ย้อนกลับขึ้นมาอีก ซึ่งตอนนี้เรายังไปไม่ถึงจุดนั้น” นายบอสติกกล่าว

นอกจากนี้ นายบอสติกกล่าวว่า เฟดจะต้องหาจุดสมดุลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปสู่ระดับที่สามารถชะลออุปสงค์และสกัดเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันก็จะต้องไม่กระทบเศรษฐกิจจนทำให้เข้าสู่ภาวะถดถอย

ด้านนายนีล แคชแครี ประธานเฟด สาขามินเนอาโพลิส กล่าวว่า เขาเปิดกว้างต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% หรือ 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 มี.ค.

นอกจากนี้ นายแคชแครีกล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยขั้นสุดท้ายของเฟดจำเป็นต้องสูงกว่าระดับ 5.4% ที่เขาคาดการณ์ไว้ในเดือนธ.ค.2565

“ผมคิดว่ากรรมการเฟดท่านอื่นเห็นด้วยกับผมที่ว่า การคุมเข้มนโยบายการเงินที่น้อยเกินไปมีความเสี่ยงมากกว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินที่มากเกินไป และเนื่องจากข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อยังไม่ได้ชะลอตัวลงตามที่มีการคาดการณ์ไว้ ผมจึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของเฟดในอนาคต” นายแคชแครีกล่าวว่า

แถลงของนายแคชแครีสอดคล้องกับความเห็นของนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ซึ่งกล่าวสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนมี.ค. และเชื่อว่าการที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะไม่ทำให้สหรัฐเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยแต่อย่างใด

Back to top button