THREL ปักธงเบี้ยรับรวมปีนี้โต 5% ลุยตลาดต่างประเทศเต็มสูบ จ่อปันผล 0.07 บาท

THREL โชว์ผลงานไตรมาส 1/66 รายได้สุทธิทะลุ 700 ล้านบาท ปักธงเบี้ยรับรวมปี 2566 เติบโต 4-5% ลุยตลาดต่างประเทศ ผนึกความร่วมมือพันธมิตรพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ รองรับด้านจิตเวชและกลุ่มผู้สูงวัย จ่อปันผล 0.07 บาท พร้อมจ่ายวันที่ 24 พ.ค.นี้


บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ THREL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1/66 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.66 ดังนี้

นายสุทธิ รจิตรังสรรค์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยรีประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ THREL เปิดเผยถึงแนวโน้มและทิศทางภาพรวมปี 2566 ว่าบริษัทเดินหน้าตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย, ไต้หวัน, กัมพูชา และสปป.ลาว ที่ยังมีแนวโน้มอัตราการขยายตัวในระดับสูง พร้อมมองหาโอกาสใหม่ๆ ขยายงานตลาดในประเทศทั้งงานประกันชีวิตแบบดั้งเดิม (Conventional) และงานร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่กับลูกค้า (Non-Conventional)

ขณะนี้อยู่ระหว่างการผนึกความร่วมมือพันธมิตร ร่วมคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะกลุ่มมากขึ้น โดยเฉพาะด้านจิตเวช และกลุ่มผู้สูงวัย เพื่อต่อจิ๊กซอว์ New S-Curve ขับเคลื่อนการเติบโตต่อเนื่อง เบื้องต้นตั้งเป้าผลักดันเบี้ยประกันภัยต่อรับรวมเติบโต 4-5% สูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมประกันชีวิตที่คาดการณ์เติบโตได้ราว 0-2% พร้อมรักษาระดับ Combined Ratio (COR) ไว้ที่ 95%

โดยล่าสุด บริษัทได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้จ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 แก่ผู้ถือหุ้นเป็นเงินสดอัตรา 0.07 บาทต่อหุ้น คิดเป็นวงเงินรวม 52 ล้านบาท พร้อมหุ้นอัตรา 60 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.0166 บาทต่อหุ้น รวมทั้งปี 2565 บริษัทจ่ายปันผลทั้งสิ้น 0.166 บาทต่อหุ้น คิดเป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 100 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 65% ของกำไรสุทธิ ซึ่งสูงกว่าขั้นต่ำของนโยบายจ่ายเงินปันผลที่กำหนดไว้ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 หลังกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 9 พฤษภาคม 2566 นี้

นายสุทธิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/2566 เบี้ยประกันภัยต่อรับเติบโตอยู่ที่ 668 ล้านบาท ใกล้เคียงช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเบี้ยประกันภัยต่อที่ถือเป็นรายได้สุทธิเติบโตต่อเนื่องกว่า 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 712 ล้านบาท ตามการเพิ่มขึ้นของแบบประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อ และโรคร้ายแรงจากสัญญาใหม่ของงานต่างประเทศที่ทำไว้ในปี 2565

ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยรวม 739 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนราว 24% สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าสินไหมทดแทน เป็นผลจากจำนวนการเข้ารักษาในโรงพยาบาลของผู้เอาประกันที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ หลังการชะลอการตัวจากเหตุไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยจากการติดเชื้อในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด19 ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงค่ารักษาพยาบาลที่พุ่งตามค่าเงินเฟ้อ ส่งผลให้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 14 ล้านบาท โดย Combined Ratio (COR) อยู่ที่ระดับ 108.2%

“บริษัทฯ เร่งดำเนินการทบทวนค่าเบี้ยประกันสุขภาพให้มีความสอดคล้องกับ medical inflation และ มุ่งเน้นความสำคัญในการคุมเข้มความเสี่ยงของการรับงาน เพื่อควบคุมคุณภาพผลการรับประกันภัยให้ combined ratio กลับสู่ระดับ 95% และยังมีการขยายงานทั้งในและต่างประเทศเพื่อการเติบโตที่มั่นคงและแข็งแกร่งในระยะยาว สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง” นายสุทธิกล่าว  

Back to top button