NL ยื่นไฟลิ่งขาย “ไอพีโอ” 130 ล้านหุ้น ระดมทุนยกระดับ “ธุรกิจรับเหมา”

NL ยื่นไฟลิ่งขาย IPO เข้าจดทะเบียนใน SET จำนวน 130 ล้านหุ้น ระดมทุนใช้ซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้าง และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยมี “ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่” เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน


นางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท เอ็นแอล ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ NL เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2566 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก หรือ IPO จำนวน 130,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 1.00 บาท/หุ้น คิดเป็น 26% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมด เดินหน้าเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (PROPCON) / บริการรับเหมาก่อสร้าง (CONS)

โดย NL ก่อตั้งเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2524 ด้วยทุนจดทะเบียน 500,000 บาท โดยนายภูมิสัน โรจน์เลิศจรรยา เพื่อประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างครบวงจร (One-Stop Service) รับงานจากหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานรัฐประเภทอื่น และหน่วยงานเอกชน ในฐานะผู้รับเหมาโดยตรง (Main Contractor) ด้วยวิธีประกวดราคา หรือเจรจาต่อรองกับผู้ว่าจ้างโดยตรง บริษัทฯ กำหนดให้หน่วยงานก่อสร้างและส่วนงานที่เกี่ยวข้องนำนโยบายคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 มาปฏิบัติใช้เป็นหลัก เน้นประสิทธิภาพ คุณภาพ ความปลอดภัย

รวมถึงการดำเนินงานโครงการตามระยะเวลาที่กำหนดและภายในวงเงินงบประมาณ บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยี BIM (Building Information Modeling) มาใช้ในการออกแบบแต่ละขั้นตอนของการก่อสร้าง ทำให้การวิเคราะห์ การควบคุมงานออกแบบ การก่อสร้างเป็นไปอย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

บริษัทฯ มีโรงงานในอำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม ประกอบด้วยโรงงานสำหรับตัดและดัดเหล็กเส้น และโรงงานสำหรับผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้งานตกแต่งภายในอาคารต่างๆ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีอาคารโกดังเพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการจัดเก็บเหล็กเส้นซึ่งสามารถรองรับการจัดเก็บวัตถุดิบในกรณีที่ราคาวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นได้ บริษัทฯ ให้บริการรับเหมาก่อสร้างแบ่งตามลักษณะงาน 5 ประเภท

ได้แก่ 1. สถานพยาบาล : อาคารที่ใช้ประกอบการให้บริการทางการแพทย์หรือที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงพยาบาล ศูนย์การแพทย์ และอาคารบริการทางการแพทย์ เป็นต้น โดยโครงสร้างอาคารและระบบประกอบอาคารมีความพิเศษเป็นไปตามกฎระเบียบจากกระทรวงสาธารณสุข เช่น ความหนาและวัสดุก่อสร้างของผนังห้องฉายรังสี ระบบควบคุมความชื้นสำหรับห้องเก็บยาและเวชภัณฑ์ และระบบแก๊สทางการแพทย์ เป็นต้น

2.อาคารสำนักงานและการพาณิชย์ : อาคารสำนักงานและเพื่อการพาณิชย์ เป็นอาคารที่ใช้เป็นพื้นที่ทำงานหรือเป็นพื้นที่เช่าสำหรับร้านค้า เช่น อาคารสำนักงาน สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น

3.อาคารพักอาศัย : อาคารสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยทั้งแบบชั่วคราวหรือถาวร เช่น คอนโดมิเนียม โรงแรม อพาร์ตเมนท์ หอพัก และบ้าน เป็นต้น

4.อาคารพิเศษ : อาคารที่มีการใช้งานเฉพาะวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจมีความซับซ้อนในการก่อสร้างหรือประโยชน์ใช้สอยเฉพาะเจาะจง เช่น พิพิธภัณฑ์ หอประชุม หอสมุด และทัณฑสถาน เป็นต้น

5.งานก่อสร้างอื่นๆ : งานก่อสร้างที่มีจุดประสงค์แตกต่างไปจากประเภทงานโครงการประเภทอื่น เช่น โรงงาน คลังสินค้า ถนน เขื่อน เป็นต้น

นายศรันย์ โรจน์เลิศจรรยา กรรมการผู้จัดการ NL เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักลงทุนได้เป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จของบริษัทฯ ด้วยการเพิ่มศักยภาพขององค์กร เดินหน้างานธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอย่างครบวงจรแบบ One-Stop Service ยกระดับงานก่อสร้างที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับการเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นก้าวที่สำคัญของ NL โดยมีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อนำเงินที่ได้ ไปใช้เพื่อเป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ก่อสร้าง และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจภายในปี 67 รองรับการขยายตัวของธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ด้านผลการดำเนินงาน ในปี 2563 – 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการรับเหมาก่อสร้างเท่ากับ 1,690.75 ล้านบาท 1,384.79 ล้านบาท และ 1,218.79 ล้านบาท ตามลำดับ โดยรายได้ที่ลดลงระหว่างปี 2563 – 2565 สาเหตุหลักมาจากที่หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนชะลอแผนการเปิดประมูลและการลงทุนก่อสร้างอาคาร จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 และบริษัทฯ พิจารณาเข้าประมูลและเสนอราคาเฉพาะโครงการที่คาดว่าจะส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับประโยชน์และกำไรจากการให้บริการรับเหมาก่อสร้าง และแม้ว่ารายได้จากการรับเหมาก่อสร้างจะลดลง บริษัทฯ ยังคงบริหารต้นทุนจากการรับเหมาก่อสร้างได้ดี

รวมถึงการได้รับค่า K (ดัชนีที่ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงมูลค่างาน) จากการดำเนินงานก่อสร้าง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 50.90 ล้านบาท 57.33 ล้านบาท และ 57.56 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 3.01 ร้อยละ 4.14 และร้อยละ 4.72 ตามลำดับ

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจของบริษัทฯ ภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและเงินสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายและข้อบังคับบริษัทฯ

Back to top button