โบรกเชียร์ “ซื้อ” PRM เคาะเป้า 9.20-10 บาท ชี้กำไรปีนิ้วไฮ 1.9 พันล้าน

3 โบรกประสานเสียงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น PRM เคาะราคาเป้าช่วง 9.20-10 บาท ประเมินกำไรปี 66 นิวไฮ 1.9 พันล้านบาท หลังกองเรือเพิ่มขึ้น ธุรกิจขนส่งเชื้อเพลิงฟื้นตัวแกร่ง


บล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ว่า ขณะนี้แนะนำ “ซื้อ” หุ้น PRM มูลค่าเหมาะสม 9.25 บาท คาดโมเมนตั้มการเติบโตของกำไรจะเริ่มกลับมาในครึ่งหลังปี 2566 โดยคาดกำไรจะลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน เพราะมี FSU 1 ลำที่อยู่ในช่วงซ่อมแซมไปจนถึงปลายเดือนมิถุนายน 2566 (เทียบกับช่วงเวลาที่หยุดการให้บริการหนึ่งเดือนในไตรมาส 1/2566) แม้เรือ AWB 1 ลำจะกลับมาเดินเรือภายใต้การต่อสัญญาระยะยาวฉบับใหม่กับ PTTEP  และเรือ Aframax ภายใต้ธุรกิจเรือขนส่งระหว่างประเทศที่ได้รับสัญญาการให้บริการใหม่ในเดือนเมษายน 2566 ก็ตาม

ขณะที่คาดว่ากำไรปกติในครึ่งปีหลัง 2566 จะฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดของปีในไตรมาส 2/2566 ได้เพราะเรือส่วนใหญ่กลับมาให้บริการตามปกติ ขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะยังทรงตัวตลอดทั้งปี หนุนจากประโยชน์ของอัตราทดการดำเนินงาน (Operating Leverage) ระดับสูงเนื่องจากต้นทุนส่วนใหญ่คงที่ และ Upside ของต้นทุนราคาเชื้อเพลิงจำกัดและคาดการณ์ถึงค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงที่ลดลง หลังช่วง 5 ไตรมาสที่ผ่านมามีเรือกว่าครึ่งกองเรือที่เข้ารับการตรวจสอบสภาพตัวเรือใต้น้ำแล้วเข้าอู่แห้งไปแล้ว จึงประมาณการกำไรสุทธิอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท เติบโต 24% จากปีก่อน เป็นจุดสูงสุดใหม่

ทั้งนี้หลังจาก PRM ซื้อเรือขนส่งเคมีภัณฑ์มือ 2 (DWT 11,000) เข้ามาสู่กองเรือในวันที่ 15 มีนาคม 2566 ผู้บริหาร PRM เปิดเผยว่าบริษัทกำลังเสาะหาโอกาสใหม่ในการซื้อเรือลำใหม่เพื่อมารองรับธุรกิจการบริการนอกชายฝั่งและธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศอยู่ สอดคล้องกับกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์น้ำมันกลั่นส่วนเพิ่มจาก TOP ซึ่งจะเริ่มเดินเครื่องจริงในปี 2567 ทั้งนี้ IBD/E ratio อยู่ที่ 0.3 เท่า ขณะที่มีเงินสดในมือ 3.8 พันล้านบาท ที่พร้อมลงทุนเพิ่มเติมแม้จะมีความท้าทายเรื่องราคาเรือมือสองที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงที่ตลาดมีอุปทานต่ำ โดยหากต้องต่อเรือใหม่บริษัทจำเป็นต้องใช้เวลาเกือบ 2 ปี นอกจากนี้ แผนขยายกิจการระยะยาวของ PRM ในการเป็นเจ้าของเรือขนส่งเคมีภัณฑ์ 10-15 ลำยังเหมือนเดิม เพราะบริษัทมีเป้าหมายในการก้าวสู่การเป็นผู้เล่นด้านการขนส่งในทะเลระดับภูมิภาค

ด้านบทวิเคราะห์บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า ได้ปรับคาดการณ์กำไรขึ้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปรับขึ้นเป็น 9.20 บาทจากกำไรที่ออกมาดีในไตรมาส 1/2566 และช่วงที่เหลือยังดี อีกทั้งเรือเข้า Dry Dock น้อยกว่าปีก่อนเหลือ 9 ลำ จาก 19 ลำ จึงปรับคาดการณ์รายได้ขึ้นเป็น 8,737 ล้านบาท เติบโต 13.4% จากปีก่อน และปรับกำไรขึ้นจากคาดการณ์เดิมอีก 27.9% เป็น 1,921 ล้านบาทอิง P/E เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังที่ 12 เท่าจากเดิม 14.9 เท่า จากการซื้อขาย P/E ปี 2565 ที่ต่ำลง แต่ด้วยกำไรที่โตขึ้นจึงปรับราคาพื้นฐานเป็น 9.20 บาท

ขณะที่ภาพครึ่งปีหลังโดยรวมยังคงดีเช่นเดียวกับครึ่งปีแรก โดยยังเน้นในธุรกิจขนส่งน้ำมันทั้งในและระหว่างประเทศ ซึ่งมีสัดส่วนในรายได้ที่ 60% จากความต้องการใช้น้ำมันในประเทศฟื้นตัวในอนาคต TOP มีแผนการขยายกำลังการผลิตคาดจะมีการส่งออกมากขึ้นจึงแผนลงทุนเพิ่มเรือใหม่ 4-6 ลำ เพื่อทดแทนเรือเก่าที่มีขนาดเล็กแต่ต้องใช้เวลาต่อราว 24 เดือน รวมถึงเรือขนส่งปิโตรเคมีลำใหม่ทำงานได้เต็มในครึ่งปีหลัง

ส่วนบล.ทิสโก้ ระบุว่า อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นกว่าคาดอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 38.3% เมื่อเทียบกับ 29.6% ในไตรมาส 1/2566 แต่ลดลงจาก 39.7% ในไตรมาส 4/2565 โดยการลดลงมาจากธุรกิจขนส่งระหว่างประเทศที่ลดลงจากการสิ้นสุดสัญญา Time Charter กับลูกค้า และธุรกิจ Offshore มีการซ่อมบำรุงเรือ แต่ธุรกิจอื่นๆ อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวเพิ่มขึ้น จากอัตราการใช้บริการเรือที่เพิ่มขึ้นทั้งขนส่งในประเทศ และ FSU สำหรับค่าใช้จ่ายการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ตามรายได้ที่ปรับเพิ่มขึ้น ด้วยการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่าย ทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 27.5%

พร้อมคาดรายได้และกำไรในไตรมาส 2/2566 จะเติบโตจากปีก่อน และจากไตรมาสก่อน หลังจากเรือที่เข้าอู่แห้ง ทั้งเรือ FSU 1 ลำ กลับเข้าให้บริการใน พ.ค. และเรือนวธานีให้บริการในกลาง เม.ย. รวมกับเรือขนส่งเคมี 1 ลำที่เริ่มให้บริการใน พ.ค. นี้ ซึ่งเราคาดรายได้จะกลับไปใกล้เคียงกับ 4/2565 และคาดจะทำให้อัตราให้บริการและมาร์จิ้นเพิ่มขึ้น โดยยังคงประมาณการผลประกอบการ โดยคาดกำไรหลักอยู่ที่ 1,678 ล้านบาท เติบโต 63% จากปีก่อน

Back to top button