“กรภัทร” ปรับฉากทัศน์ “จัดตั้งรัฐบาล” เหลือ 3 กรณี หุ้นไหนได้ประโยชน์

“กรภัทร วรเชษฐ์” ปรับมุมมองฉากทัศน์การเมืองใหม่เหลือ 3 กรณี หากเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วม หรือพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำพลิกขั้วไปจับพรรคว่าที่ฝ่ายค้าน ขณะที่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทั้งนี้หุ้นไหนได้รับประโยชน์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าจากข้อมูลอ้างอิงของ นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงความคืบหน้าการเมืองวานนี้มีในส่วนของศาล รธน.รับคำร้อง “พิธา” ปมหุ้น ITV สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ขณะที่การวินิจฉัยคดีคาดใช้เวลา 3-4 เดือน

นอกจากนี้ยังมีผลสรุปการโหวตนายกฯ ครั้งที่ 2 มีข้อสรุป คือ ที่ประชุมสภาฯ มีมติโหวตการเสนอชื่อนายพิธาฯ เป็นนายกรัฐมนตรี รอบที่ 2 ไม่สามารถดำเนินการได้ ด้วยคะแนนเสียง 395 เสียง ต่อ 312 โดยมีผู้งดออกเสียง 8 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง   ขณะที่กำหนดวันโหวตนายกฯ ครั้งที่ 3 ไว้ในวันที่ 27 ก.ค. 66 และตามด้วยช่วงเย็นวานนี้มีการชุมนุมหลักที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยรวมยังไม่มีเหตุรุนแรง

อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยยังมีเรื่องต้องติดตามต่อ คือ 1) แนวทางการจัดตั้งรัฐบาลครั้งถัดไป โดยที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ 2) พัฒนาการการเมืองนอกสภาว่าจะมีความเสี่ยงรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่ หลังกลุ่มต่างๆ ทยอยประกาศชุมนุม อาทิ แนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม กลุ่ม ”ประเทศกูมี”

ทั้งนี้ โดยรวมเห็นโครงสร้างการเมืองที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ เชิงกลยุทธ์มองหุ้นที่ปรับฐานจากจิตวิทยาลบการเมืองไม่ชัดเจนทยอยฟื้นตัว อาทิ GULF, CRC, CPALL, BJC, CPAXT, TRUE, THCOM ระยะสั้นมองเน้นสะสม อาทิ GULF, CRC, CPAXT, THCOM

สำหรับภายใต้แนวทางพรรคการเมืองส่วนใหญ่ และ ส.ว. ไม่สนับสนุนการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคก้าวไกลทางบล.กรุงศรี พัฒนสิน ได้มีการปรับมุมมองฉากทัศน์การเมืองจากนี้เหลือ 3 กรณี

กรณีที่ 1 (โอกาส 10%)  คือ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกล+ตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วมปัจจุบัน 310 เสียง และมี MOU ไม่แตะมาตรา 112 เปิดทางพรรคอื่นๆ ร่วมรัฐบาลที่จำนวนเสียง ส.ส. เกิน 376 เสียง คือ พรรคร่วมปัจจุบัน 310 เสียง +ภูมิใจไทย 71 เสียง จะได้เสียง 381 เสียง โดยมีเจตจำนงเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และอาจมีการแก้รัฐธรรมนูญในระยะถัดไป ความชัดเจนจะหนุน SET ปลายปี 2023 แกว่งขึ้นในกรอบราว 1680-1720 จุด กลุ่มเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT, PTTGC, GULF, BGRIM กลุ่มเทคโนโลยีได้แก่ ADVANC, TRUE, THCOM, BE8 กลุ่มอสังหาฯ ได้แก่ SC, SIRI กลุ่มรับเหมาได้แก่ STEC, ITD, STPI กลุ่มอิงการบริโภคภายใน คือ กลุ่มธนาคารได้แก่ BBL, KTB, TTB กลุ่มค้าปลีกไตรมาสได้แก่ CPALL, CPAXT, CRC, DOHOME, GLOBAL กลุ่มนิคมได้แก่ AMATA, WHA และกลุ่มท่องเที่ยวได้แก่ AOT, ERW, MINT

กรณีที่ 2 (โอกาส 85%)   คือ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ขณะที่พลิกขั้วไปจับพรรคว่าที่ฝ่ายค้าน ประเมินเสียงราว 280-310 เสียง ด้วยบทสรุปที่ชัดเจน SET จะแกว่งขึ้นเช่นกัน แต่กรอบจำกัดกว่ากรณีที่ 1 ที่ราว 1620-1680 จุด(ขึ้นกับความเสี่ยงการชุมนุมทางการเมืองที่มีระดับต่ำ-กลาง) กลุ่มเคลื่อนไหวดีกว่าตลาด คือ กลุ่มพลังงานได้แก่ PTT, PTTGC, GULF, BGRIM, GPSC กลุ่มเทคโนโลยีได้แก่ ADVANC, TRUE, THCOM, BE8 กลุ่มรับเหมาฯได้แก่ ITD, STEC, SKY, CK ตามมาด้วยกลุ่มอิงการบริโภคภายใน คือ กลุ่มธนาคารได้แก่ BBL, KTB, TTB, KBANK, SCB กลุ่มค้าปลีกได้แก่ CPALL, CPAXT, CRC, GLOBAL, DOGOME กลุ่มนิคมได้แก่ AMATA, WHA กลุ่มท่องเที่ยวได้แก่ AOT, ERW, CENTEL

กรณีที่ 3 (โอกาส 5%)   คือ การจัดตั้งรัฐบาลจะอยู่ในลักษณะเสียงข้างน้อย คือ ว่าที่พรรคร่วมฝ่ายค้านปัจจุบัน ประเมินเสียงราว 160-180 เสียง มองกดดัน SET จากทั้งการขับเคลื่อนนโยบายขาดเสถียรภาพ และมีความเสี่ยงการชุมนุมที่อาจจะเกิดขึ้นมีความตึงเครียดมากสุดในทุกกรณี ประเมิน SET กรอบ 1350-1460 จุด กลุ่มที่เคลื่อนไหวดีกว่าตลาดมองกลุ่มถูกกดดันจากการเมือง อาทิ GULF, BGRIM, THCOM, TRUE, STEC, STPI อิงความต้องการโลก (Global Plays) อาทิ HANA, KCE, DELTA, CPF, GFPT, PTTGC, IVL กลุ่มนิคมได้แก่ AMATA, WHA

Back to top button