เปิด 7 หุ้นพีอีต่ำ-ยีลด์สูง ลุ้นปี 66 กำไรเลิศ

ตลาดหุ้นผันผวน! เลือกลงทุนหุ้น “พีอี-พีบีวี” ต่ำ พ่วงยีลด์สูงเกิน 4%  พร้อมโบรกคาดปี 66 กำไรเติบโตแกร่ง ชู TOP- SIRI-SPALI-SCB-BCP-SC-TTB


สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยยังมีความผันผวน และวอลุ่มการซื้อขายเบาบางอย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักคือ ปัจจัยทางการเมืองในประเทศยังไม่มีความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลโดยเฉพาะการโหวตนายกรัฐมนตรี  ผนวกกับนักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายออกมา ดังนั้นการเฟ้นหาหุ้นเพื่อการลงทุนอาจจะยากลำบาก

สำหรับทางเลือกหุ้นที่น่าสนใจในแบบฉบับหุ้นที่มีค่า P/E ต่ำกว่า 15 เท่า, ค่า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า รวมถึงอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงกว่า 4% ถือว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมช่วงตลาดผันผวน และสิ่งสำคัญไปกว่านั่นทั้ง 7 หุ้น TOP, SIRI, SPALI, SCB, BCP, SC และ TTB เข้าข่ายตามหลักเกณฑ์แล้ว พบว่าผลการดำเนินงานยังมีโอกาสเติบโตแกร่งในปี 2566 อีกด้วย

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 3.66 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.69 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 7.51% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.ฟิลลิป ระบุว่ามีการปรับประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้น 5% พร้อมปรับราคาพื้นฐานขึ้นจากเดิม 52 บาท ไปเป็น 55.80 บาท และปรับคำเป็น “ซื้อ” เนื่องจากมุมมองปัจจัยครึ่งปีหลังที่ดีขึ้น ทั้งจากธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะเป็นจุดต่ำสุดแล้ว ประกอบกับค่าการกลั่นที่ทยอยปรับขึ้น และตั้งแต่ไตรมาส 3/2566 เป็นต้นไปน่าจะเริ่มมี Stock gain จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในครึ่งหลังของปี

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 5.91 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.73 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 7% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.ฟิลลิป ระบุว่าในไตรมาส 2/2566 ยอด Presale จำนวน 10,022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 23.9% จากไตรมาสก่อน เติบโตทั้งแนวราบและแนวสูง คาดรายได้รวม 9,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 17.8% จากไตรมาสก่อน

ทั้งนี้ เติบโตจากรายได้อสังหาริมทรัพย์แนวราบที่มีทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่อย่างนาราสิริ พหลวัชรพล และเศรษฐสิริดอนเมืองที่โอนเข้ามาต่อเนื่อง การตอบรับจากลูกค้าดีกว่าเป้า และยังมีคอนโดที่ครบกำหนดโอน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 1,428 ล้านบาท ขายแล้ว 50-70% โอนได้มากกว่าไตรมาสก่อน, สัดส่วนค่าใช้จ่ายโดยรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงไตรมาสก่อน, ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน จากโครงการบุราสิริ กรุงเทพกรีฑาที่โอนได้อีกกว่า 800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/2566 กว่าเท่าตัว และยังมีกำไรพิเศษจากการขายที่ดินให้บริษัทร่วมค้า (JV) เพื่อทำโครงการนาราสิริอีกราว 400 ล้านบาท (หลังภาษี)

ขณะเดียวกันคาดกำไรสุทธิ 1,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2.4% จากไตรมาสก่อน มั่นใจกำไรปี 2566 เติบโตกว่าปี 2565 และจะเติบโตเป็นลำดับต้นๆในอุตสาหกรรมคาดปันผลครึ่งปีแรก 0.049 บาทต่อหุ้น ราคาพื้นฐานปี 2566 ที่ 2.24 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 5.05 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.86 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 6.94% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า ยังคงคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่  7.9 พันล้านบาท และในปี 2567 อยู่ที่ 6.6 พันล้านบาท โดยคาดกำไรในไตรมาส 3/2566- ไตรมาส 4/2566 จะสามารถเติบโตได้จากไตรมาสก่อนต่อเนื่อง และในไตรมาส 3/2566 จะเริ่มโอนโครงการ Supalai Premier Si Phraya-Samyan มูลค่า 2.3 พันล้านบาท ที่มียอดขาย 100% และยังมีโครงการที่รอเปิดตัวใหม่เพิ่มในครึ่งหลังของปี 2566 อีก 27 โครงการ มูลค่า 2.8 หมื่นล้านบาท และมียอด Backlog รอโอนในครึ่งหลังของปี 2566 อยู่ที่ 1.16 หมื่นล้านบาท และรอโอนในปี 2567 ที่ 6.86 พันล้านบาท

โดย SPALI ถือว่าปลอดภัย เนื่องจากสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดที่มียอดขาย 100% ทั้ง 2 โครงการที่พร้อมโอนใหม่ในปี 2566 และมียอด Backlog รวม 1.98 หมื่นล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27.80 บาท

บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 9.65 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.78 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 6.08% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า โดยตั้งเป้าหมายปี 66 1) เป้าด้านสินเชื่อโต 5-8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ซึ่งครึ่งแรกของปี 2566 โต 3% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ยังต่ำเป้า แต่ 2) เป้า NIM ที่มากกว่า 3.5% ครึ่งแรกของปี 2566 ทำได้ 3.6% ดีกว่าเป้า 3) เป้าการเติบโตของรายได้รวมน้อยกว่า 10% ครึ่งแรกของปี 2566 โต 12% 4) เป้า cost to income ratio ที่ 45% ครึ่งแรกของปี 2566 ทำได้ดีกว่าเป้าราว 40%

สำหรับ 5) เป้า credit cost ที่ 120-140 bps.ของสินเชื่อรวมครึ่งแรกของปี 2566 อยู่ที่ 184 bps. โดยเฉพาะธุรกิจ credit card ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งเป็นการตั้งสำรองเชิงคุณภาพเป็นสำรองส่วนเกินเพื่อรองรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง โดยสินเชื่อที่ยังเป็นกังวลด้านคุณภาพคือสินเชื่อ SME และสินเชื่อรายย่อย อย่างไรก็ดีคาดว่าในครึ่งหลังของปี 2566 จะมีการตั้งสำรองน้อยกว่าครึ่งแรกของปี 2566 โดยรวมถือว่ายังคงเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ต้นปี

ทั้งนี้ยังทำได้ตามเป้าหมายทั้งปี 66 จึงคาดว่าปีนี้ SCB ยังคงมีกำไรโตโดดเด่นกว่า 21% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน โดยปีนี้คงนโยบายจ่ายปันผลสูง หนุนเป้า ROE ระยะยาว คาดจ่ายอัตราผลตอบแทนสูงราว 7.5% ถือเป็นอีก 1 หุ้นแบงก์ที่จ่ายปันผลจูงใจ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 134 บาท

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP  พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 4.78 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.80 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5.86% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า คาดว่ากำไรสุทธิครึ่งหลังของปี 2566 จะปรับขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งหลังปี 2565 จากการฟื้นตัวในธุรกิจโรงกลั่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น

และส่วนแบ่งที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงไฟฟ้า ในอาทิตย์ที่ผ่านมา SG GRM ได้ส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ดี GRM ของวันนี้อยู่ที่ 8.48 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงที่สุดตั้งแต่เดือน มี.ค. 2566 นอกจากนี้ราคาน้ำมันยังกำลังเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้นในขณะที่ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นเป็นกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล  ในปัจจุบัน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 42.70 บาท

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 7.13 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.86 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 5.51% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ประมาณการเต็มปี 2566 กำไรครึ่งหลังของปี 2566 คาดจะเพิ่มขึ้นจากครึ่งหลังปี 2565 โดยจะโตจากไตรมาสก่อน ในทุกๆไตรมาสจากรับรู้ Backlog แนวราบที่อยู่ระดับสูงราว 6.8 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2/2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 5.3 พันล้านบาทในไตรมาส 1/2566 นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ 14 โครงการรวมมูลค่า 21 พันล้านบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 (เทียบกับ 8 โครงการ รวมมูลค่า 11 พันล้านบาทในครึ่งแรกของปี 2566)

นอกจากนี้ คาดเงินปันผลในงวดผลประกอบการครึ่งแรกปี 2566 ที่ 0.09 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล 2% ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเดิมที่ 5 บาท

ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB พบว่าค่า P/E อยู่ที่ 10.77 เท่า, ค่า P/BV อยู่ที่ 0.73 เท่า ขณะที่อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4.29% ส่วนแนวโน้มผลการดำนเนินงานปี 2566 ทาง บล.บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า โดยคาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2566 จะยังแข็งแกร่งโดยเฉพาะ NIM ที่น่าจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ลงในช่วงปลายไตรมาส 2/2566 ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/2566 อาจกลับไปอ่อนตัวอีกครั้งจากการเร่งตัวของค่าใช้จ่ายดาเนินงานเมื่อเข้าช่วงฤดูกาล แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 1.83 บาท

Back to top button