เปิด 15 หุ้น SET100 “ขึ้น-ลง” ช่วงสุญญากาศทางการเมือง

เข้าเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นไทยกลับมาเผชิญกับช่วงสุญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง บล. เอเซีย พลัส เปิดหุ้นที่ลงแรงๆ และหุ้นที่ Outperform หรือแข็งแรงกว่าตลาดในช่วงนี้เป็นหุ้น Defensive อย่างหุ้นโรงพยาบาล, หุ้น Earning Momentum และหุ้นอิงกับราคา Commodity


สืบเนื่องจากการรวบรวมคะแนนเสียงเพื่อจัดตั้งรัฐบาลแข็งแรงขึ้น แต่กำลังเข้าสู่ช่วงรอยต่อที่สำคัญหลังพรรคเพื่อไทยแถลงว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ด้วยเสียงตั้งต้น 212 เสียง คือ เพื่อไทย 141 เสียง และภูมิใจไทย 71 เสียง ล่าสุดมีพรรคร่วมอีก 5 พรรคประกอบด้วย พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง พรรคเพื่อไทยรวมพลัง 2 เสียง พรรคพลังสังคมใหม่ 1 เสียง และพรรคท้องที่ไทย 1 เสียง

ขณะที่วันพรุ่งนี้พรรคเพื่อไทยจะแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคชาติไทยพัฒนาอีก 10 เสียง ทำให้ขณะนี้มีเสียงรวมกัน 236 เสียง ซึ่งต้องหาเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้เกิน 250 เสียงขึ้นไป และต้องมีเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอีกกว่า 100 เสียงจึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ จากนี้ไปจะถึงจุดสำคัญของการที่ต้องตัดสินใจในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งมีทางเลือกที่เป็นไปได้ดังต่อไปนี้

1.ได้เสียงจากพรรคก้าวไกล 151 เสียง โดยที่ไม่ได้ดึงมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งจะทำให้มีคะแนนเสียงรวม 387 เสียง (236 + 151 = 387 เสียง) แต่กรณีนี้ ความมีเสถียรภาพของรัฐบาลจะต่ำ เนื่องจาก ในที่สุด พรรคก้าวไกลก็จะกลับไปทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้าน

2.เชิญ พรรคพลังประชารัฐ และ / หรือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งมีจำนวนส.ส. 40 และ 36 เสียง ตามลำดับ ซึ่งน่าจะได้เสียงสนับสนุนจาก สว. จนผ่าน375 เสียง (กึ่งหนึ่งของรัฐสภา) แต่ก็ต้องระวังแรงกดดันนอกสภาฯ

3.สส.มีเอกสิทธิในการโหวตนายกฯ ซึ่งอาจมี สส. บางท่าน โหวตสนับสนุนนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย แม้พรรคต้นสังกัดจะไม่ได้ร่วมรัฐบาล กรณีนี้อาจตั้งรัฐบาลได้ แต่ก็จะไม่มีเสถียรภาพในการทำงานอีกประเด็นหนึ่งที่น่าติดตาม คือ การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะพิจารณารับหรือ ไม่รับ คำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่ เสนอให้วินิจฉัยการใช้ข้อบังคับการประชุมที่ 41 ของรัฐสภา ในการโหวตเลือกนายกฯ โดยศาลฯ นัดประชุม 16 ส.ค.66 หากไม่มีคำสั่งห้ามใดๆ หรือ ไม่รับไว้พิจารณา ก็น่าจะทำให้กระบวนการโหวตเลือก

นายกรัฐมนตรีในสภาเดินหน้าต่อสุญญากาศทางการเมืองก็จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่สั้นลง แต่หากเป็นไปตรงข้าม ก็จะเกิดสุญญากาศทางการเมืองที่ยาว ในช่วงเวลาชองการรอคอยความชัดเจน SET Index มีโอกาสผันผวนในกรอบแคบ และมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลงได้

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด หรือ  ASPS ประเมินภาพการเมืองมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่มีความผันผวนอยู่บ้างจากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาร้องปมเสนอชื่อ “พิธา” ซ้ำ ผิดญัตติหรือไม่ ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวคาดเห็น Flow ต่างชาติยังไม่ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยฯ และมีโอกาสเห็นตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนในกรอบแคบช่วง 2 สัปดาห์นี้ โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index 1,510-1,535 จุด

อย่างไรก็ตาม หาทางรับมือตลาดผันผวน แต่หวังจะดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือน ส.ค.เริ่มต้นเดือน ส.ค. ตลาดหุ้นไทยกลับมาเผชิญกับช่วงสูญญากาศทางการเมืองอีกครั้ง และยังเป็นช่วงประกาศงบการเงินงวดไตรมาส 2/2566 ซึ่งฝ่ายวิจัยฯประเมินว่าจะลดลงทั้งจากไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ส่งผลให้ SET Index ปรับตัวลง -2.4% จากเดือนก่อนหน้าถึงปัจจุบัน จาก 1556 จุด ลงมาเหลือ 1518 จุด พร้อมกับ Fund Flow ต่างชาติที่ไหลออก -1.17 หมื่นล้านบาท จากเดือนก่อนหน้าถึงปัจจุบัน

หากดูรายละเอียดในหุ้นขนาดใหญ่ พบว่า หุ้นที่ลงแรงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นถูกกดดันจากสูญญากาศทางการเมือง แต่หุ้นที่ Outperform หรือแข็งแรงกว่าตลาดในช่วงนี้เป็นหุ้น Defensive อย่างหุ้นโรงพยาบาล, หุ้น Earning Momentum และหุ้นอิงกับ

ราคา Commodity ดังตารางทางด้านล่าง

 

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำเอนเอียงน้ำหนักมาที่ 1). หุ้นอิงกับราคาCommodity เป็นหลัก ชอบ PTTEP, PTTGC, TOP 2). หุ้น Defesive ปันผลสูง ADVANC ,SCB,  AP 3). หุ้น Earning Momentum PLANB , ERW ส่วนหุ้นอิงกับประเด็นทางการเมือง หากย่อตัวลงมาลึกและนำค่อยๆ ทยอยสะสมในช่วงใกล้กับการโหวตนายกฯอีกครั้งหนึ่ง

Back to top button