จับตาดีล “AIS-3BB” สะเด็ดน้ำ 5 ต.ค.นี้ บอร์ด กสทช.นัดถกพิเศษ โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 264 บาท

จับตาดีลรวมกิจการเอไอเอส-3BB นัดประชุมใหม่ 5 ต.ค.นี้ ก่อนเคาะปิดดีล ด้านโบรกฯ แนะนำ “ซื้อ” ADVANC ราคาเป้าหมาย 264 บาท รับงบ Q3 เด้ง ฟาก “กสทช.” ถอดวาระตั้ง “ไตรรัตน์” นั่งเลขาฯ คนใหม่ 4 บอร์ดระบุไม่ใช่วาระเร่งด่วน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพิจารณาวาระการรวมธุรกิจระหว่างบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) ในเครือของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC กับ บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ 3BB ในเครือบริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS นั้น บอร์ดทั้ง 4 คนได้ขอให้เลื่อนไปพิจารณาเป็นวาระพิเศษ ซึ่งคาดว่าจะเป็นวันที่ 5 ตุลาคมนี้ เนื่องจากเห็นว่าข้อมูลในส่วนของที่ปรึกษาในประเทศและต่างประเทศยังไม่ครบถ้วน ถ้าพิจารณาตัดสินไปอาจมีปัญหาในภายหลัง

“บอร์ดทั้ง 4 คนขอให้ประชุมเป็นวาระเฉพาะ และเวลาในการพิจารณาเมื่อวานนี้ (21 ก.ย.) ก็ไม่เพียงพอ จึงให้เลือกวันพิจารณาในวาระ 3BB เพียงวาระเดียว จะได้มีเวลาซักถามให้มากยิ่งขึ้น” แหล่งข่าวจากบอร์ด กสทช. กล่าว

ส่วนข้อมูลของคณะอนุกรรมการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.คณะอนุกรรมการฯ ด้านกฎหมาย 2.คณะอนุกรรมการฯ ด้านคุ้มครองผู้บริโภคและสิทธิพลเมือง 3.คณะอนุกรรมการฯ ด้านเทคโนโลยี 4.คณะอนุกรรมการฯ ด้านเศรษฐศาสตร์ ครบถ้วนหมดแล้ว

นอกจากนี้ บอร์ดยังเห็นว่าแนวทางในการพิจารณาดีลควบรวม 3BB ควรจะยึดแนวทางเดียวกับกรณีของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ควบรวมกับบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ DTAC

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” ADVANC ราคาเป้าหมาย 264 บาท คาดว่าแนวโน้มกำไรปกติไตรมาสที่ 3/2566 ของ ADVANC ที่ 7.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 1% จากไตรมาสก่อน ตามฤดูกาล

โดยกำไรของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ได้รับแรงหนุนด้านต้นทุนค่าไฟฟ้า และค่าเสื่อมที่ลดลง ประกอบกับการควบคุมค่าใช้จ่ายการตลาดที่ทำได้ดี คาด EBITDA จะเริ่มโตตามเป้า 5% สูงกว่าครึ่งปีแรกที่โต 2% แม้รายได้บริการยังไม่เด่น ฉุดจากกำลังซื้อและฤดูกาล ทั้งนี้โมเมนตัมไตรมาส 4/66 คาดโตต่อจากปีก่อนจากไฮซีซั่น และหวังผลบวกจากการทยอยอออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อของภาครัฐ

ดังนั้น ยังคงเป้าหมายกำไรทั้งปีโต 9% จากปีก่อน นอกจากนี้ยังมองบวกต่อความพยายามเพิ่มศักยภาพแข่งขันของ ADVANC ทั้งจากการครองคลื่น 700 เพิ่ม และการเตรียมซื้อ 3BB โดยประเมิน upside ดีลซื้อ 3BB ประมาณ 2.7 บาทต่อหุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” และเลือกเป็นหุ้นเด่นของกลุ่มสื่อสาร

ด้านการประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) วานนี้ (21 ก.ย.) นอกสถานที่ ณ จังหวัดนครพนม พบว่ามีเพียงบอร์ด 3 คนที่เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วย นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานบอร์ดกสทช., นายต่อพงศ์ เสลานนท์ บอร์ดกสทช. และ พล.ตำรวจเอก ดร.ณัฐธร เพราะสุนทร

ส่วนกรรมการที่เหลืออีก 4 คน ประกอบด้วย พล.อ.ท.ธนพันธ์ หร่ายเจริญ, น.ส.พิรงรอง รามสูต, นายศุภัช ศุภชลาศัย และนายสมภพ ภูริวิกรัยพงศ์ ได้เข้าร่วมประชุมออนไลน์ ณ ห้องประชุมที่สำนักงานกสทช. ชั้นที่ 12 ถนนพหลโยธิน ซอย 8 (ซอยสายลม) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ

โดยก่อนการประชุมจะเริ่ม บอร์ดทั้ง 4 คน ได้ยื่นหนังสือให้ประธานบอร์ดกสทช. เพื่อขอให้ถอดวาระการประชุมแต่งตั้งเลขาธิการกสทช.คนใหม่ออกไปก่อน ทำให้บอร์ดที่เหลือ 3 คน ไม่สามารถพิจารณาวาระดังกล่าวได้ ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าจะมีการเสนอชื่อนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการและรองเลขาธิการ เป็นเลขาธิการกสทช.ในครั้งนี้

สำหรับหนังสือที่ 4 บอร์ดเสนอ ระบุไว้ดังนี้

1.กระบวนการสรรหาเลขาธิการกสทช. โดยที่ในการดำเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการกสทช.ของประธานกสทช. ซึ่งประธานกสทช.ได้กล่าวว่าเป็นอำนาจของประธานกสทช.แต่เพียงผู้เดียวนั้น กรรมการทั้ง 4 คนได้ทำการคัดค้านมาโดยตลอด ถึงอำนาจและกระบวนการที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่โปร่งใส ทั้งการจัดทำเป็นลายลักษณ์อักษรที่นำเรียนต่อประธานกสทช. และโดยวาจาที่ได้มีการนำเสนอในที่ประชุมกสทช. โดยได้มีการขอให้ประธานกสทช.ยุติกระบวนการที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่โปร่งใสดังกล่าว แต่ประธานกสทช.ก็นิ่งเฉย และได้ดำเนินกระบวนการกระทั่งประธานกสทช.ได้ทำการคัดเลือกบุคคลและจะทำการนำเสนอรายชื่อนั้นต่อที่ประชุมกสทช.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบในการประชุมกสทช. ครั้งที่ 19/2566 วันที่ 21 ก.ย. 2566

ทั้งนี้ กรรมการทั้ง 4 คน ขอเรียนว่ากระบวนการคัดเลือกของประธานกสทช.น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่โปร่งใส ประกอบกับปัจจุบันมีกรณีที่บุคคลผู้เข้ารับการคัดเลือกเพื่อดำรงตำแหน่งเลขาธิการกสทช. จำนวน 4 คน ทำการโต้แย้งคัดค้านถึงการดำเนินการคัดเลือกดังกล่าว ทั้งนี้หากประธานกสทช.ยังคงนิ่งเฉยและดำเนินกระบวนการต่อไป อาจส่งผลให้เกิดความเสียหายทั้งต่อกสทช. และสำนักงานกสทช. จนมิอาจแก้ไขเยียวยาได้

2.การมีส่วนได้เสียของกรรมการทั้ง 4 คน แม้ว่าจะได้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าปัจจุบันนายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล ผู้เข้ารับการคัดเลือกเพื่อให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการกสทช. และอาจเป็นบุคคลที่ประธานกสทช. จะเสนอรายชื่อต่อที่ประชุมกสทช.เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบนั้น ได้ทำการฟ้องกรรมการทั้ง 4 คน ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

แต่กรณีดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้กรรมการทั้ง 4 คน เป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือไม่เป็นกลางแต่อย่างใด เนื่องจากศาลฯ ยังมิได้วินิจฉัยจนถึงที่สุดว่ากรรมการทั้ง 4 คน ทำความผิดตามฟ้องจริงหรือไม่ ทั้งนี้หากพิจารณาว่าเมื่อกรรมการผู้ใดถูกฟ้องแล้ว กรรมการคนนั้นจะตกเป็นผู้มีส่วนได้เสียทันทีย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลแกล้งฟ้องหรือร้องเรียน กรรมการเพื่อมิให้กรรมการมีอำนาจพิจารณาในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตนในอนาคตได้ ซึ่งเรื่องนี้ศาลปกครองสูงสุดได้วางหลักไว้แล้วว่า แม้ผู้ทำคำสั่งทางปกครองจะถูกผู้ตกอยู่ภายใต้คำสั่งฟ้องคดี แต่เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือมีหลักฐานใดที่สนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมว่ากรณีดังกล่าวทำให้การพิจารณาออกคำสั่ง มีสภาพร้ายแรงจนเสียความเป็นกลางผู้ออกคำสั่งย่อมสามารถออกคำสั่งได้ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ.536/2554

นอกจากนี้ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองก็ได้มีความเห็นเรื่องเสร็จที่ 87/2563 สรุปได้ว่าบทบัญญัติมาตรา 13 และมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ซึ่งบัญญัติลักษณะต้องห้ามของเจ้าหน้าที่หรือกรรมการที่จะทำการพิจารณาทางปกครองไม่ได้นั้น บัญญัติขึ้นโดยมีความมุ่งหมายที่จะใช้บังคับแก่เจ้าหน้าที่หรือกรรมการในคณะกรรมการที่มีอำนาจพิจารณาทางปกครองที่เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาทางปกครอง เพื่อให้การพิจารณาทางปกครองได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่หรือกรรมการที่เป็นกลาง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในทางที่เป็นคุณหรือโทษกับคู่กรณี อันอาจทำให้ข้อยุติในผลการพิจารณาทางปกครองไม่เป็นธรรม

อย่างไรก็ตาม การบังคับใช้บทบัญญัติทั้งสองมาตรานั้นมีข้อยกเว้นตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ที่บัญญัติว่าบทบัญญัติมาตรา 13 ถึงมาตรา 16 ไม่ให้นำมาใช้บังคับกับกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน หากปล่อยให้ล่าช้าไปจะเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะ หรือสิทธิของบุคคลจะเสียหายโดยไม่มีทางแก้ไขได้ หรือไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนผู้นั้นได้ ซึ่งบทบัญญัติมาตรา 20 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 และที่แก้ไขเพิ่มเติมระบุไว้ว่า “ให้กรรมการเท่าที่เหลืออยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้และให้ถือว่า กสทช. ประกอบด้วยกรรมการเท่าที่เหลืออยู่ แต่ทั้งนี้จะต้องมีจำนวนกรรมการไม่น้อยกว่า 4 คน”

3.การมีส่วนได้เสียของประธานกสทช. กรรมการทั้ง 4 คน ขอเรียนว่า ในการพิจารณาคัดเลือกบุคคลเพื่อให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการกสทช. ของประธานกสทช.นั้น ย่อมเป็นกรณีที่ประธานกสทช. เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะไม่สามารถพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลที่ประธานกสทช.จะเสนอชื่อในครั้งนี้ได้เสียเอง

เนื่องจากประธานกสทช.เป็นผู้ที่ดำเนินกระบวนการคัดเลือกด้วยตนเองทั้งหมด ตั้งแต่การออกประกาศรับสมัคร การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ การประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเข้ารับการคัดเลือก การดำเนินการคัดเลือก การเสนอชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือกต่อกสทช. และจะทำการพิจารณาให้ความเห็นชอบรายชื่อบุคคลที่ประธาน กสทช. จะทำการเสนอต่อที่ประชุมกสทช.ด้วย นอกจากนี้ยังมีพฤติการณ์ที่ทำให้กรรมการทั้ง 4 คน เข้าใจว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้เข้ารับการคัดเลือกบางคนตามที่ได้มีหนังสือนำเรียนประธานกสทช.ไปแล้ว

แหล่งข่าวจากบอร์ดกสทช.เปิดเผยว่า บอร์ดทั้ง 4 คน ให้เหตุผลเลื่อนการพิจารณาออกไปว่า วาระการแต่งตั้งเลขาธิการกสทช.คนใหม่ยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน จึงยังไม่จำเป็นที่จะพิจารณาในวันนี้ (21 ก.ย.)

Back to top button