“กรภัทร” มอง SET แกว่งตัว แนะลงทุนหุ้น 7 หุ้น ประคองตลาด!

“กรภัทร วรเชษฐ์” มองตลาดหุ้นไทยแกว่งตัว แนะลงทุน 7 หุ้น “อิเล็กทรอนิกส์ HANA-KCE-DELTA พ่วงกลุ่มปิโตรเคมี PTT- IVL และ SCGP-SCC ประคองตลาด จับตาวันนี้เม็ดเงินกองทุน TESG ไหลเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท พร้อมให้กรอบแนวรับที่ 1,389 ส่วนแนวต้านที่ 1,410 – 1,415


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (21 ธันวาคม 2566) ว่าภายหลังการคาดการณ์ประกาศลดอัตราดอกเบี้ย (เฟด) จาก นายเจอโรม พาวเวล ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถือเป็นการส่งสัญญาณถึงการหยุดวงจรดอกเบี้ย ทั้งนี้จะเห็นได้จากการที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์มีการปรับตัวขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา และหากมองย้อนไปภายใน 9 วันที่ผ่านมาพบว่าดาวโจนส์มีการปรับขึ้นประมาณ 4% โดยยังคงแนะนำนักลงทุนสามารถขายทำกำไรระยะสั้นได้

ทั้งนี้ตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์ได้ประกาศว่าเป็นกลางจากปัจจัยต่างๆ อาทิ ความเชื่อมั่นผู้บริโภค  และยอดขายบ้านมือสองปรับตัวดีขึ้นกว่าการคาดการณ์ รวมไปถึงราคาน้ำมันดิบสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงยอดดี มานด์มีการปรับตัวลง อีกทั้งบริษัท FedEx ระบุเปิดเผยว่าเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐนั้นมีการชะลอตัวลง

ทั้งนี้ตลาดหุ้นเอเชียได้รับผลกระทบจากการปรับตัวของตลาดหุ้นสหรัฐ อาทิ ตลาดหุ้นเกาหลี, ไต้หวัด และฮ่องกงโดยสาเหตุที่ตลาดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียปรับตัวลงนั้นเกิดจากเมื่อวานนี้มียอดการส่งออกของไต้หวันกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 12 เดือน และเกาหลีมีตัวเลขการส่งออก 20 วันประจำเดือนธันวาคมสูงกว่าการคาดการณ์ประมาณ 10 % โดยยังคงแนะให้จับตาหุ้นทีเกี่ยวเนื่อง อาทิ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงกลุ่มปิโตรเคมี

ขณะที่มองภาวะตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในช่วงนี้ให้กรอบที่ระดับแนวรับที่ 1,389 จุด ส่วนแนวต้านที่ 1,410 – 1,415 จุด และการทำธุรกรรมต่างชาติเริ่มมีการปรับตัวลดลงเนื่องจากใกล้ถึงช่วงหยุดยาว อีกทั้งเมื่อวานนี้มีแรงซื้อในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างแรงโดยวันนี้ (21 ธันวาคม 2566) กองทุน TESG มีการเปิดขายครบหมด อีกทั้งมีการคาดการณ์ว่าอาจมีปริมาณเงินทุนต่างชาติไหลเข้าภายในประเทศ โดยคาดการณ์ตั้งแต่วันนี้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อวัน

ทั้งนี้ส่งผลให้ทั้งปี 2566 คาดการณ์ว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุน TESG ขั้นต่ำประมาณ 10,000 ล้านบาท อีกทั้งปี2567 ประเมินว่าจะมีเม็ดจากการลงทุนในกองทุนระยะยาวอาจเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่ำสุดประมาณ 38,000 ล้านบาท และจะยาวไปจนถึงปี 2575 รวมถึงคาดการณ์ว่ากองทุน TESG มีความแข็งแรงมากพอจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยเช่นกัน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะจับตาหุ้นที่เป็นตัวประคองตลาด คือ กลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE และ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA รวมไปถึงกลุ่มปิโตรเคมี อาทิ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอุตสาหกรรมก่อสร้าง ได้แก่ บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC

Back to top button