CLSA ชู 5 หุ้นท็อปพิก! รับปัจจัยบวกเฉพาะตัว-กำไรแกร่ง

“บล.ซีแอลเอสเอ” หั่นเป้าหมาย SET ปี 67 เหลือ 1,422 จุด จากเดิม 1,734 จุด วิตกปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง นโยบายการคลัง ส่งออก และท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า รวมถึงกำไร “บจ.” อ่อนแอ แต่หวังการปรับลดดอกเบี้ยเฟด-เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวหนุน แนะนำ “ซื้อ” TOP- BDMS- TIDLOR- CPALL- HMPRO หุ้นท็อปพิกรับปัจจัยบวกเฉพาะตัว-กำไรแกร่ง


บริษัทหลักทรัพย์ ซี แอล เอส เอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CLSA ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ว่ายังเป็นปีที่ท้ายอยู่จากทั้งเรื่องของนโยบายการคลัง การส่งออก และท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า รวมถึงกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่อ่อนแอ และยังต้องเผชิญหนี้ครัวเรือนที่ยังสูง ส่งผลให้การบริโภคตึงตัว ส่วนการแจกเงิน 1 หมื่นบาทของรัฐบาลนั้นเป็นการเพิ่มความกังวลถึงวินัยทางการคลัง

ขณะเดียวกัน จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทยนั้นยังไม่ถึงระดับเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ในปี 2566 ซึ่งจะยิ่งส่งผลให้การฟื้นตัวของการบริโภคช้าลง นอกจากนั้นยังคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมหลักๆจะมีกำไรที่ลดลงอย่างชัดเจน ทั้งในส่วนของธนาคาร ค้าปลัก พลังงาน และสาธารณูปโภค และมองว่าประเทศไทยยังขาดการปฎิรูปทางโครงสร้างเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะเป็นแรงผลักดันหลักในปี 2567 โดยฝ่ายนักวิเคราะห์ แนะนำกลยุทธ์เลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และกำไรที่แข็งแกร่ง แนะนำ “ซื้อ” บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ราคาเป้าหมายที่ 70 บาท , บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด(มหาชน) หรือ BDMS ราคาเป้าหมายที่ 34 บาท, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR ราคาเป้าหมายที่ 26 บาท, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ราคาเป้าหมายที่ 82 บาท และ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาเป้าหมายที่ 17 บาท

นอกจากนี้ประเมิณ GDP ในปี 2566 จะเติบโต 2.7% และปี 2567 จะเพิ่มขึ้น 3.8% ได้รับแรงสนับสนุนจากการเติบโตทางการบริโภคภาคเอกชนที่สูงขึ้น 5% ขณะที่บริษัทส่งออกจะต้องเผชิญกับอุปสงค์โลกที่อ่อนแอ และอัตราการใช้งานที่ต่ำในช่วงครึ่งปีแรก ส่งผลให้การลงทุนในภาคการผลิตจะชะลอตัวลง โดยฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าการส่งออกของประเทศจะเติบโต 4.8% ในปี 2567

ด้านการท่องเที่ยวที่เห็นการฟื้นตัวที่ช้าของนักท่องเที่ยวจีน และลดลงจากคาดการณ์ของรัฐบาล โดยมีสัดส่วนเพียง 13% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศทั้งหมดในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2566 เทียบกับช่วงก่อนโควิดที่อยู่ในระดับ 27% จึงมองว่าปีนี้จะยังเป็นปีที่มีความท้าทายสำหรับประเทศไทยที่จะบรรลุเป้าหมายนักท่องเที่ยวทั้งหมด 34.5 ล้านคนจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจีนที่เชื่องช้า

โดยมองว่าในไตรมาส 4/2566 เป็นอีกหนึ่งไตรมาสที่กลุ่มอุตสาหกรรมหลักในตลาดจะมีกำไรที่อ่อนแอ เนื่องจากกลุ่มธนาคารถูกกดดันจาก NPL, กลุ่มค้าปลีกถูกกดดันจากยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ที่ต่ำ, กลุ่มพลังงานถูกกดดันโดยราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และกลุ่มสาธารณูปโภคถูกกดดันจากการลดค่าไฟฟ้า (Ft) โดยมองว่ารัฐบาลจะคงค่า Ft ไว้ในระดับต่ำในปีนี้ และจะยังไม่เพิ่มค่า Ft ซึ่งโดยทั่วไปแล้วค่า Ft นั้นควรจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามต้นทุนพลังงาน ซึ่งประเด็นนี้อาจสร้างความข้องใจในเรื่องการคำนวนค่า Ft ได้

ส่วนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งเงินทุนนั้นจะมาจากการกู้ยืม คาดการณ์ว่าจะเริ่มใช้ในเดือนพฤษภาคม 2567 โดยมองว่าเป็นการผลักดันการบริโภคในระยะสั้น และอาจส่งผลให้สภาพคล่องลดลง รวมถึงอาจเป็นการเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทจดทะเบียนด้วยเช่นกัน

อย่างไรตาม การลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI) คาดการณ์ว่าจะดีขึ้นจากกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (EV) โดย 4 บริษัทสัญชาติจีนอย่าง BYD, SAIC Motor, Great Wall Motor และ Changan ได้เข้ามาลงทุนในไทยแล้ว ส่วนอีกสองบริษัท (GAC และ Geely) อยู่ระหว่างการจดทะเบียนกับ BOI โดยมูลค่า FDI โตขึ้น 70% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ที่ระดับ 3.8 แสนล้านบาท

ส่วนประเด็นการลดดอกเบี้ยของเฟด และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนจะเป็นแรงผลักดันหลักในปี 2567 โดยมองกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เติบโต 8% ในปีนี้ ซึ่งจะน้อยกว่าคาดการณ์ของบลูมเบิร์กที่ประมานการณ์ไว้ 16% ในปี 2567 และจากปรับตัวลง 2% ในปี 2566 ดังนั้น CLSA ปรับลดเป้าหมายดัชนี SET ในปีนี้จากเดิม 1,734 จุด เป็น 1,422 จุด บนพื้นฐาน PE 14.6 เท่า หรือ 1SD ซึ่งจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 7 ปี

Back to top button