“บลจ.อีสท์สปริง” มองดัชนีหุ้นไทยปี 67 แตะ 1,520 จุด แนะลงทุนกลุ่ม “ท่องเที่ยว-บริโภค”

“บลจ.อีสท์สปริง” มองเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปี 67 แตะ 1,520 จุด แนะหุ้นได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยว กลุ่มอุปโภคและบริโภค ส่วนกลุ่มส่งออกยังประเมินค่าเงินบาทเอื้อประโยชน์ แต่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยง พร้อมเปิดตัวแอพ Eastspring M Choice TH หนุนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ


นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในปี 2567 มุมมองของนักวิเคราะห์ว่าโลกกำลังจบรอบดอกเบี้ยขาขึ้นและเริ่มเข้าสู่ช่วงดอกเบี้ยขาลง โดยมีสิ่งที่ต้องติดตามดังนี้

1.การชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งต้องติดตามว่าจะเป็นเพียงแค่การชะลอตัวทางเศรษฐกิจหรือจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย

2.การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของธนาคารกลางขนาดใหญ่อย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) , ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางญี่ปุ่น (B0J) ซึ่งมีแนวโน้มในการเปลี่ยนทิศทางการดำเนินนโยบายทางการเงิน เพียงแต่จะช้าหรือเร็วกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์

3.การเลือกตั้งของหลายประเทศในแต่ละภูมิภาค ทั้งไตหวัน อินโดนีเซีย อินเดีย และสหรัฐฯ

ทั้งนี้มองว่าประเทศไทยอาจมีการปรับลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้ง แต่อาจจะเห็นเป็นช่วงครึ่งหลังปี 2567 มากกว่า ซึ่งมีนโนบายมาตรการของรัฐเข้ามาสนับสนุน โดยมองว่าอัตราดอกเบี้ยทำระดับสูงสุด แต่ก็ยังไม่ปรับตัวลงเร็ว คงจะต้องไปต่ออีกสักระยะหนึ่ง อาจจะเป็นช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน โดยมองภาพรวมแนวโน้มดอกเบี้ยไทยคล้ายกับสหรัฐ

อย่างไรก็ตามในช่วงไตรมาส 3/2567 ถึงไตรมาส 4/2567 สำหรับกอง REIT ไทยจะมีเรื่องของการเพิ่มทุนเข้ามา ซึ่งอาจจะเป็นแรงกดดันเล็กน้อย ส่วนหุ้นกู้ดีฟอลต์ โดยข้อมูลของ ThaibMA ปี 2567 มีหุ้นกู้ภาคเอกชนจะครบกำหนดประมาณ 1 ล้านล้านบาท โดยมองว่าถ้าเกิดหุ้นกู้ดีฟอลต์ขึ้นมา และไม่น่าจะกระทบในวงกว้าง ส่วนเรื่องของหุ้นกู้ในอสังหาริมทรัพย์กับ REIT มองว่าเป็นเรื่องที่แยกกัน

ดังนั้นในปี 2567 ทางฝ่ายวิจัยมองหุ้นไทยเด่นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยว กลุ่มอุปโภคและบริโภค ส่วนกลุ่มส่งออกปีนี้ยังอยู่ที่ 50/50 โดยคิดว่าเงินบาทก็เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มส่งออก แต่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความเสี่ยง และจีนเป็นหนึ่งคู่ค้าหลักก็ค่อนข้างช้าลง โดยตั้งเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 2567 อยู่ที่ระดับ 1,520 จุด

ทั้งนี้ มองว่าระหว่างที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ย จะส่งผลให้ช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า แนะนำให้ลงทุนอย่างรอบคอบ อยู่ในขอบเขตความปลอดภัย ซึ่งต้องมี Core Portfolio ประมาณ 60-70% โดยอาจจะไม่ได้ปรับลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว แต่จะค่อยๆ ทยอยปรับลง หากเฟดไม่ได้ลดดอกเบี้ยประมาณอีก 6 เดือน อาจจะส่งผลให้ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

โดยมองว่าสหรัฐฯ มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2-4 ครั้ง ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลบวกต่อตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในบางกลุ่มรวมถึงพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ภาคเอกชนในระดับ Investment Grade แต่เนื่องจากเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง อาจส่งผลให้โอกาสการปรับตัวขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงมีค่อนข้างจำกัด จึงแนะนำให้สะสมกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีความผันผวนต่ำเพื่อลดความเสี่ยง เช่น EASTSPRING Global Low Volatility Equity Fund

รวมถึงกองทุนที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่เน้นคุณภาพอย่าง TMB Global Quality Growth และกองทุนที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตของ Generative AI  เช่น กองทุน EASTSPRING US Information Technology Fund  ส่วนภูมิภาคเอเชียนั้น ตลาดหุ้นเวียดนาม และอินเดีย ถือเป็นประเทศในภูมิภาคเอเชียที่ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจค่อนข้างเติบโตได้โดดเด่น รวมถึงได้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานที่เริ่มมีการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ประกอบกับเศรษฐกิจที่คาดว่าจะมีการเติบโตอย่างน่าสนใจในปีนี้ โดยกองทุนที่แนะนำได้แก่ TMB EASTSPRING Vietnam Active Equity Fund, TMB India Active Equity Fund  และ รวมถึงกองทุนหุ้นไทยอย่างกองทุนเปิดธนชาตเพิ่มพูนทรัพย์ปันผล T-PPSD ที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้เช่นกัน

ส่วนกลุ่มตราสารหนี้เป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่เราค่อนข้างให้ความสนใจ โดยเฉพาะตราสารหนี้โลกในกลุ่มพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาคเอกชนคุณภาพดี ในระดับ Investment grade  แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนและถือครองกองทุนที่ลงทุนในตราสารดังกล่าว เพื่อเป็นพอร์ตการลงทุนหลัก (Core Portfolio) สำหรับปี 2567 โดยกองทุนแนะนำได้แก่ TMB Global Income และ EASTSPRING GIS Global Bond ที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ

นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.อีสท์สปริง กล่าวว่าได้เปิดตัว โมบาย แอปพลิเคชั่น “Eastspring M Choice TH” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มเพื่อการบริการสำหรับลูกค้ากลุ่มกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ด้วยเทคโนโลยีที่โดดเด่น และมีฟีเจอร์การทำงานที่เหนือชั้น

โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนวัตกรรมของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายทั้งในและต่างประเทศครอบคลุม มากกว่า 30 นโยบายลงทุนรวมถึงกองทุนสมดุลตามอายุ หรือ Target Retirement Funds พร้อมบริการที่ตอบโจทย์

รวมทั้งยังได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทกองทุนสำรองเลี้ยงชีพร่วมดีเด่น (Pooled Fund) ที่เสนอโดย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ขนาดกองทุนมากกว่า 10,000 ล้านบาทโดยได้รับพระราชทานโล่รางวัลสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นปีที่ 7 สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จนเป็นที่ยอมรับจากกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิก 165,783 ราย จากนายจ้าง 1,860 บริษัท มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 60,222.47 ล้านบาท (ข้อมูลจาก AIMC ณ พฤศจิกายน 2566)

Back to top button