“ทองคำโลก-ไทย” ออลไทม์ไฮต่อเนื่อง ลุ้นปีนี้รูปพรรณ 42,000 บาท

ทองคำโลก-ไทยเดินหน้า “ออลไทม์ไฮ” เก็งดอกเบี้ยขาลง-แบงก์ชาติทั่วโลกแห่ตุนทอง-สงครามตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ลุ้นปีนี้ทองรูปพรรณบาทละ 42,000 บาท


ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกและในไทยโค้งแรกปี 2567 ถือว่าเป็นช่วงที่พีกสุดสำหรับการลงทุนก็ว่าได้ โดยเห็นจากราคาทองคำ Gold spot ช่วงดังกล่าวเดินหน้าทุบสถิติ “ออลไทม์ไฮ” ต่อเนื่องมาแตะระดับ 2,352 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เมื่อวันที่ 9 เม.ย.67 และเมื่อเทียบราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 2,062 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ กับราคาทองคำที่ระดับ 2,352 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 267 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือขึ้นไป 14.06%

ขณะเดียวกันราคาทองคำแท่งและรูปพรรณในประเทศไทยเดินหน้าทำ “ออลไทม์ไฮ” ต่อเนื่องเช่นกัน โดยราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% เมื่อต้นปีบาทละ 33,650 บาท ขยับขึ้นไปแตะบาทละ 41,350 บาท เมื่อวันที่ 12 เม.ย.67

ส่วนทองคำรูปพรรณปรับตัวเหนือ 40,000 บาทต่อบาททองคำอย่างแข็งแกร่ง ในขณะนี้ราคาทองคำ “ออลไทม์ไฮ” ขึ้นมาบาทละที่ระดับ 41,850 บาท เมื่อวันที่ 12 เม.ย.67 และเมื่อนำมาเทียบราคาทองคำต้นปีบาทละ 34,150 บาท พบว่าราคาทองได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7,700 บาทต่อบาททองคำ หรือขึ้นไป 22.54%

แน่นอนว่าปัจจัยที่เป็นแรงหนุนสำคัญมาจาก 5 ปัจจัยคือ 1.แนวโน้มที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในปี 2567 คาดจะเริ่มเห็นการปรับลดครั้งแรกในช่วงกลางปี 2567 และจะปรับลดต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง สู่ระดับ 4.50-4.75% จากปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.25-5.50% ส่งผลกดดันดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐให้ร่วงลง

2.ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าซื้อทองคำต่อเนื่องในปี 2567

3.ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบันสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังมีความรุนแรงและไม่มีทีท่าจบในเร็ว ๆ นี้ ทำให้นักลงทุนเข้าถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น

4.การเลือกตั้งเดือนพ.ย.2567 ของสหรัฐฯ หาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ได้รับการเลือกกลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอาจเกิดความไม่แน่นอนของนโยบายด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนมีโอกาสทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความไม่แน่นอน

5.เศรษฐกิจในเอเชียที่ฟื้นตัวอาจหนุนความต้องการบริโภคจิวเวลรี่และการบริโภคในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 55.4% ของความต้องการทองคำทั้งหมดในปี 2566

นอกจากนี้สภาทองคำโลกและบรรดานักวิเคราะห์ในประเทศ และสมาคมค้าทองคำไทย รวมทั้งบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่าย-รับซื้อคืนทองคำในไทยต่างประเมินราคาทองทำในปีนี้จะเป็นขาขึ้นต่อเนื่อง และมองว่าในปีนี้ทองคำรูปพรรณของไทยจะปรับตัวขึ้นไปถึงบาทละ 42,000 บาท

อีกทั้ง World Gold Council หรือสภาทองคำโลก คาดว่าปี 2567 จะเป็นปีที่แข็งแกร่งอีกปีหนึ่งของความต้องการทองคำจากธนาคารกลางโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในตลาดเกิดใหม่

ด้านนางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ระบุเมื่อวันที่ 10 เม.ย.67 ว่าราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงต่อเนื่องจนราคาได้ถึงมาสูงกว่าเป้าหมายที่วายแอลจีให้ไว้คือ 2,350 ดอลลาร์/ออนซ์

อย่างไรก็ดีแรงขายทำกำไรอาจทำให้ทองคำย่อตัวลงได้ระดับหนึ่งแต่เชื่อว่าในระยะสั้นจะยังไม่ปรับลดลงไปต่ำกว่า 2,300 ดอลลาร์/ออนซ์ และสำหรับทองคำในประเทศมองว่าหากค่าเงินบาทไม่ได้แกว่งตัวผันผวนมากนัก ราคาทองคำในประเทศก็จะยืนบริเวณ 40,000 บาทต่อบาททองคำ

ดังนั้นการพักฐานของราคาทองคำช่วงนี้มองว่าจะปรับตัวลดลงไม่มาก เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนหลักยังคงแข็งแกร่ง ทั้งอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะเริ่มเข้าสู่ขาลงในปีนี้ โดยจะลดอัตราดอกเบี้ยลงในปีนี้ 3 ครั้ง ครั้งละ 0.25% และลดลงต่อเนื่องในปีหน้า และปีถัดไปทำให้นักลงทุนมองว่าทองคำจะได้รับปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง และจะกระทบให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐปรับตัวลดลง

อีกทั้งความต้องการทองคำจากธนาคารกลางประเทศต่างๆที่มีอย่างต่อเนื่อง จากกระแส ธนาคารกลางทั่วโลกเดินหน้าถือครองทองคำเพิ่มอีก 39 ตันในเดือน ม.ค. นำโดยตุรกีและจีนเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุด ส่งผลให้ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อสุทธิทองคำเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องมาจาก ปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่สนับสนุนความการทองคำด้วยเช่นกัน

ขณะที่บทวิเคราะห์ของบริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส ระบุว่า ราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นต่อเนื่องขึ้นสู่ All-Time High ใหม่อีกครั้ง เนื่องจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังอิสราเอลโจมตีสถานเอกอัครราชทูตอิหร่านในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย ทำให้อิหร่านประกาศจะตอบโต้อย่างสาสม

นอกจากนี้นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มราคาทองคำทั้งทองไทยและทองโลก หลังจากทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ต่อเนื่อง ทำให้ยังมีทิศทางขาขึ้นต่อเนื่อง คาดการณ์ ราคาทองแท่ง มีโอกาสทะลุ 40,000 บาท ไปถึงแนวต้าน 42,000 บาท ได้ภายในเดือนเม.ย.นี้ และหากเฟดลดดอกเบี้ย เป็นแรงหนุนให้ราคาทองขยับขึ้นต่อ

ก็ต้องมาลุ้นกันว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ราคาทองคำโลกและในไทยจะเป็นขาขึ้นต่อเนื่องหรือไม่ เพราะอย่าลืมว่าปัจจัยหนุนสำคัญอยู่ภายใต้เงื่อนไข “เฟด” ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ย

เพราะล่าสุดหลังจากสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ออกมาที่ระดับ 3.5% สูงกว่าคาด ทำให้ตลาดมองว่าปีนี้เฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง จากที่เคยคาดว่าจะลด 3 ครั้ง และยังไม่ตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย.

นอกจากนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.0% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมวันที่ 11-12 มิ.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 42.6% ก่อนหน้านี้ ตรงนี้ก็น่าจะทำให้นักลงทุนยังต้องติดตามทิศทางเฟดอย่างใกล้ชิดเพื่อรอดูทิศทางประชุมเฟดในเดือนมิ.ย.ชัดเจน

Back to top button