รู้จัก SPREME ผู้นำเทคโนโลยี “การศึกษาไทย” จ่อลงสนามเทรด 2 พ.ค.นี้ ราคาไอพีโอ 2.60 บาท

ทำความรู้จัก SPREME หุ้นน้องใหม่สายเทคฯ ผู้อยู่เบื้องหลัง “การศึกษาไทย” พร้อมเข้าเทรด SET วันที่ 2 พ.ค.นี้ ระดมทุนขยายธุรกิจ-รับงานใหญ่รัฐและเอกชน ปักหมุดปี 67 รายได้โตสองหลัก ผุดศูนย์บริการอีก 2 แห่ง พร้อมชูปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ดึงความเชื่อมั่นนักลงทุน


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” พานักลงทุนมารู้จักหุ้นผู้อยู่เบื้องหลังและเป็นผู้นำเทคโนโลยีด้านการศึกษาไทย ที่เรียกได้ว่าเป็นหุ้นที่มีศักยภาพและผลงานระดับประเทศอย่าง บริษัท สุพรีม ดิสทิบิวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SPREME เตรียมเข้าจดทะเบียนและทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 นี้ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือ ICT

โดย SPREME อยู่ภายใต้การบริหารของ นายภานุวัฒน์ ขันธโมลีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่มีทั้งความรู้และความสามารถด้านเทคโนโลยีและไอทีโซลูชั่นมากมาย เป็นผู้ก่อตั้งบริษัทมากกว่า 30 ปี ซึ่งเริ่มจากการนำเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปจากสิงค์โปร์ มาจัดจำหน่ายในประเทศไทยในรูปแบบของการนำส่ง โดยได้รวบรวมประสบการณ์และความรู้ นำมาเริ่มประกอบคอมพิวเตอร์เอง ภายใต้แบรนด์ “DTK” และจัดจำหน่ายให้แก่หน่วยงานใหญ่ต่างๆ จนถึงในปี 2545 ได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการต่างๆของภาครัฐ คือโครงการ “คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร” เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีในสมัยนั้นได้ ซึ่งบริษัทประสบความสำเร็จในโครงการนี้เป็นอย่างมาก เป็นผลทำให้บริษัทได้มีโอกาสเข้าประมูลงานของภาครัฐใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง

จากการเติบโตและผลงานระดับประเทศที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของผู้บริหารคนเก่ง ทำให้ SPREME ได้รับโอกาสได้รับงานใหม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาค “การศึกษา” ของไทย โดยบริษัทเป็นคู่สัญญาของภาครัฐโดยตรง คิดเป็นสัดส่วนราว 30% ซึ่งบริษัทได้เริ่มจัดทำในส่วนของการวางระบบและมาตรฐานการศึกษาในโรงเรียนของโครงการ SV2 และต่อยอดไปสู่หน่วยงานอื่นๆของหน่วยงานรัฐ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะกลุ่มสถาบันทางการศึกษา และสถาบันทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงศึกษาธิการ, คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) มหาวิทยาลัยมหิดล ฯลฯ

รวมถึงหน่วยงานกลุ่มลูกค้าเอกชน ที่คิดเป็นสักส่วนราว 70% ประกอบด้วยบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทมนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีความสามารถในการเข้าประมูลกับหน่วยงานรัฐได้ เรียกได้ว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังของเทคโนโลยีทางการศึกษาในไทยเราอย่างแท้จริงเลยทีเดียว

สำหรับธุรกิจของ SPREME มีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มหลักๆ ได้แก่ 1.จำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ระบบเทคโนยีสารสนเทศ (SI : System Integrator) ครบวงจร 2. ธุรกิจให้บริการดูและบำรุงรักษา ซ่อมแซมคอมพิวเตอร์และอุปปกรณ์ต่อพ่วง และ 3. ให้เช่าระบบคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง มีระยาวสัญญาแตกต่างกันออกไปตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งมีอายุการใช้งานเฉลี่ยราว 3-5ปี อีกทั้งบริษัทยังคอยอัพเดทเทรนด์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเพื่อเข้ามาเติมเต็มประสบการณ์ใช้งานของลูกค้า นอกจากนั้นแล้ว สินค้าคงเหลือหลังจากหมดอายุการใช้งานครบกำหนดสัญญา บริษัทจะนำไปจำหน่ายในราคาถูก หรือแจกจ่ายให้กับโรงเรียนที่มีทุนทรัพย์น้อย และผู้ที่ต้องการใช้คอมพิวเตอร์ในราคาที่ถูกลง ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่บริษัทเป็นประโยชน์ต่อสังคมและสร้างรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับใครอีกหลายๆคน และยังต่อยอดรายได้ให้กับบริษัทอีกด้วย

“จุดเด่นของเราคือ การเป็นผู้นำด้านเทคโนยีการศึกษา ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนจำหน่ายจากบริษัทซอฟต์แวร์ อีกทั้งการมีศูนย์ให้บริการจำนวน 3 แห่ง ครอบคลุมทั่วประเทศ และเราเชื่อมั่นในการบริการที่ดี รวมทั้งพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพให้เท่าทันต่อเทคโนโลยีและการแข่นขัน เรามุ่งเน้นการแข่งขันกับตัวเองเพื่อสร้างการเติบโตที่ดีกว่าเดิมในอนาคต” นายภานุวัฒน์ กล่าว

หากมองย้อนไปดูผลประกอบการของบริษัท ถือว่าเป็นการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทสามารถทำกำไรสุทธิในปี 2566 อยู่ที่ 156.59 ล้านบาท เป็นผลจากการเติบโตของรายได้รวม อยู่ที่ 1,276.41 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากธุรกิจจำหน่ายและติดตั้ง จำนวน 1,108.81 ล้านบาท, ธุรกิจ MA จำนวน 97.17 ล้านบาท  และธุรกิจให้เช่า จำนวน 50.34 ล้านบาท

ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตาต่อมาคือ แผนการดำเนินงานและทิศทางธุรกิจภายหลังการระดมทุนขายหุ้นสามัญ จำนวน 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.60 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) เท่ากับประมาณ 12.29 เท่า มีทุนจดทะเบียนปัจจุบันอยู่ที่  280 ล้านบาท ภายหลังการเข้าซื้อขายหุ้นไอพีโอจะอยู่ที่ 370 ล้านบาท และบริษัทก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนล้นหลามเมื่อวันที่ 23-25 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีการจองซื้อเต็มจำนวน

โดยหลังจากบริษัทได้เงินระดมลงทุนนี้ นำมาใช้ขยายธุรกิจในแง่ของการทำ M&A กับพันธมิตรที่แข็งแกร่งต่อยอดไม่เพียงแค่ด้านการศึกษา แต่ยังครอบคุลมถึงด้านอื่นๆอีก อาทิ Public Safety และ Smart City ให้บริการประชนอย่างทั่วถึง และเริ่มจับเทรนด์ระบบ AI ในอนาคต โดยน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้

สำหรับแผนงานในปี 2567 ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เนื่องจากบริษัทคาดการณ์ว่าจะรายได้รวมปี 2567 จะเติบโตระดับเลขสองหลัก(Double-Digit) และมีแผนเข้าประมูลงานภาครัฐระดับใหญ่ราว 1 พันล้านบาทได้ประมาณเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ รวมถึงการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาในภาคอีสาน ให้เป็นทั้งสิ้น 5 สาขาในปีนี้ รองรับพื้นที่ภาคอีสาน ซึ่งเป็นภาคที่มีพื้นที่และประชากร โรงเรียนมากที่สุด และยังเพิ่มสัดส่วนลูกค้าทั้งภาครัฐภาคเอกชนให้เป็น 50:50 เพื่อสอดคล้องกับการเติบโตในปีนี้ อีกทั้งมีงานรอในมือ (Backlog) ราว 440 ล้านบาท ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถรับรู้ในปีนี้ได้เกือบทั้งหมด

นอกจากนั้น บริษัทฯไม่เพียงแต่การเติบโตที่แข็งแกร่ง บริษัทฯก็ยังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแรงมากเช่นเดียวกัน โดยบริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23% ซึ่งสูงกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมในกลุ่มเดียวกัน และยังมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.77 เท่า และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยอยู่ที่ 0.08 เท่า เท่านั้นเอง เป็นผลทำให้แทบจะเป็นบริษัทปลอดหนี้ เนื่องจากบริษัททำสผลิตภัณฑ์ต่อออเดอร์ สินค้าคงเหลือนำไปลดหย่อนและแจกจ่าย เป็นผลให้บริษัทสามารถลดการสต๊อกและยอดคงค้างต่างๆลง และไม่มีการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน

“ขอให้นักลงทุนมั่นใจได้เลยว่า จะได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ด้วยการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการ หลังหักภาษีเงินได้ และหักสำรองตามกฎหมาย เนื่องจากเรายังมีโอกาสที่จะเติบโตไปพร้อมกับนักลงทุนอีกมาก ด้วยความที่เราเป็นพันธมิตรคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศมาอย่างยาวนาน จึงมั่นใจได้ว่าเราจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง มีอีกหลายอย่างที่เรากำลังจะดำเนินงานเพื่อการศึกษาและประชาชนคนไทย ขอให้รอติดตามและเติบโตไปพร้อมๆกับเรา” นายภานุวัฒน์ กล่าว

ทั้งนี้ นอกจากธุรกิจหลักแล้ว ยังมีโครงการอื่นๆ ที่สร้างพลังให้กับเยาวชนนักกีฬาของไทยอย่าง “สโมสรวอลเลย์บอลสุพรีม ชลบุรี-อี.เทค” ที่ส่งเสริมกีฬาวอลเลย์บอลให้กับคนไทย มีทั้งนักกีฬาชื่อดังและนักกีฬาหน้าใหม่ที่บริษทร่วมผลักดันและให้ความสำคัญต่อเด็กและการศึกษา ไม่เพียงแต่ในโรงเรียน ยังรวมถึงด้านกีฬาอีกด้วย  เรียกได้ว่าเป็นหุ้นผู้อยู่เบื้องหลังการศึกษาไทยและเยาวชนไทยได้อย่างแท้จริง

Back to top button