“กรภัทร”  มองฟื้น LTF ช่วยหนุนตลาด ชี้เม็ดเงินหมื่นล้านบาท ดัน SET พุ่ง 20-50 จุด

“กรภัทร วรเชษฐ์” มองฟื้นกองทุน LTF สามารถช่วยกระตุ้นตลาด เนื่องจากมูลค่า 1 หมื่นล้านบาท ดัน SET ปรับตัวขึ้นราว 20-50 จุด ขณะที่วันนี้มอง SET ไซด์เวย์อัพ แนะสะสมหุ้นเทคฯราคาลงลึก รับรัฐเร่งเบิกจ่ายงบประมาณครึ่งปีหลัง 67 พ่วงจับตาตัวเลขส่งออก-นำเข้าจีน โดยให้กรอบแนวต้าน 1,387จุด และแนวรับ 1,365 จุด


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KKS กล่าวในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (9 พ.ค. 67) ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นวานนี้แผ่วลงเนื่องจากมีการปรับลดคาดการณ์ GDP ไทยลงมาจากเดิมที่หลายสำนักคาดการณ์ที่ระดับ 2.50-2.80%  แต่ล่าสุดปรับลงมาที่ระดับ 2.20- 2.40% อีกทั้งวานนี้ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 67 มาที่ 2.20-2.70%

โดยหลักๆมาจากความไม่มั่นใจในเรื่องของตัวเลขส่งออกเดือนมีนาคมที่ชะลอตัวในรอบ 7 เดือน ส่งผลให้นักลงทุนวิตกว่าตัวเลขในเดือนเม.ย.ถัดไปจะฟื้นตัวหรือไม่ ในขณะที่ตัวเลขส่งออกในเอเชีย อาทิ เกาหลีฟื้นตัวต่อเนื่อง 6 เดือนติด รวมทั้งจีนที่ฟื้นตัวต่อเนื่องเช่นกัน

อย่างไรก็ตามปัจจัยต้องติดตามวันนี้ที่จะเข้ามาช่วยลดแรงกดดันในตลาดหุ้นไทยได้นั่นคือ ภาพรวมของตัวเลขส่งออกจีนเดือนเม.ย. ถ้าตัวเลขส่งออกนำเข้าออกมาขยายตัวตามที่คาดการณ์ คาดว่าจะเป็นตัวลดทอนแรงกดดันที่ตลาดกังวลกับตัวเลขส่งออกในไทยได้ซึ่งจะเป็นภาพรวมสำคัญที่มีผลต่อตลาดในวันนี้

ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยในไตรมาส 1/67 ประกาศจนถึงปัจจุบันพบว่าผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาดที่ระดับ 3.90% จากเดิมคาดที่ระดับ 3.50% ดังนั้นเชื่อว่าภาพรวมตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงของการสร้างฐานเพื่อไปต่อ หรือไซด์เวย์เพื่อไปต่อในกรอบดัชนีแนวต้านที่ 1,387-1,383 จุด และแนวรับที่ 1,365 จุด

ส่วนประเด็นฟื้น LTF กลับมาถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ประกอบกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ออกมาสนับสนุนเสนอให้รัฐมนตรีคลัง  เพราะในส่วนของ LTF ไม่เพียงช่วยตลาดทุนและตลาดเงิน แต่จะช่วยคนทั้งประเทศช่วยให้มีการออมเงินในช่วงการเกษียณให้มีความยั่งยืน ดังนั้นถ้าฟื้น LTF ให้เกิดขึ้นจะช่วยให้โครงสร้างตลาดหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งในระยะกลางและระยะยาวอย่างมาก

โดยเนื่องจากทุกๆ 10,000 ล้านบาท ที่ LTF มีแรงซื้อและมีเม็ดเงินใหม่เข้ามาจะช่วยหนุนดัชนี 20-50 จุด และปกติ 3 ปีสุดท้ายของ LTF ค่าเฉลี่ยของเม็ดเงินๆที่เข้ามาใหม่ประมาณ 6.8 หมื่นล้านบาท มันเป็นเม็ดเงินที่มีนัยยะต่อความชันเชิงโครงสร้างตลาดหุ้นดังนั้นนโยบายนี้อาจจะต้องมีการสนับสนุนต่อเนื่องถ้าทำแล้วหยุด ก็จะเห็นเป็นภาพที่ทำให้ตลาดปัจจุบันปรับตัวลงต่อเนื่อง ดังนั้นเม็ดเงินดังกล่าวถ้าได้รับการสนับสนุนจะช่วยให้ตลาดหุ้นมีความยั่งยืนทั้งระยะกลางระยะยาวมากขึ้น

ส่วนการนำ LTF กลับมามองภาพรวมการลงทุน อาจจะต้องมีข้อจำกัดการลงทุนในสินทรัพย์ในประเทศ ถ้าจะมุ่งเน้นในตลาดหุ้นก็อาจจะมีสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น 70-80% หรืออาจจะต้องมีการกำหนดเรื่องดัชนีด้วยหรือไม่ และขนาดการออมก็อยู่ในระดับเหมาะสม 250,000-300,000 บาท ส่วนกรอบระยะลงทุนมองว่ากรอบระดับ 7-8 ปี ถือเป็นระดับที่เหมาะสมและมองว่านักลงทุนไทยยอมรับได้ แต่ถ้าระยะสั้น 5 ปี มองว่าตลาดไม่ได้ชอบความผันผวนแต่เน้นความยั่งยืน ดังนั้นระดับ 7 ปีน่าจะเป็นตัวเลขที่เหมาะสม แต่ตรงนี้คงจะต้องเป็นเรื่องที่ทาง FETCO จะหารือกันอีกครั้ง

ด้านหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ได้รับประโชชน์กระแส Digital Transformation ช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยสดใส เนื่องจากได้รับความสะดุดในโครงการภาครัฐล่าช้าจากงบประมาณปี 67 เพิ่งออกมา และบางบริษัทต้องพึ่งพางานภาครัฐ 30-50% ดังนั้นอาจจะต้องรอโมเมนตัมในช่วงปลายไตรมาส 2 และในครึ่งปีหลัง 2567 ที่คาดว่าจะเริ่มชัดเจน และมองว่าช่วงครึ่งปีนี้หุ้นกลุ่มนี้จะเร่มสร้างฐานใหม่เพื่อรอการฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 67 ดังนั้นนักลงทุนอาจจะต้องรอดูและทำความเข้าใจกับธุรกิจนี้ จึงมองเป็นโอกาสของคุณนักลงทุนเข้าสะสมหุ้นกลุ่มดังกล่าว

Back to top button