“ประเสริฐ” ดัน “บางปู-บางปะกง-แม่น้ำอิง” สู่ Ramsar Site พื้นที่ชุ่มน้ำระดับโลก

ประเสริฐ รองนายกฯ เสนอขึ้นทะเบียน “บางปู-แม่น้ำบางปะกง-แม่น้ำอิง” สู่ Ramsar Site พื้นที่ชุ่มน้ำระดับโลก พร้อมสั่งการหน่วยงานเร่งหาวิธีบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยลงแม่น้ำ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม  


วันนี้(6 พ.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 2/2568 โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะรองประธานกรรมการฯ , นายสิทธิชัย เสรีส่งแสง รองปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และนางชญานันท์ ภักดีจิตต์ เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ และมีผู้ทรงคุณวุฒิรวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม  ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบ 4 เรื่องที่สำคัญ ดังนี้

1.การเสนอพื้นที่ชุ่มน้ำเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ (Ramsar Site) 3 แห่ง คือ 1) พื้นที่ชุ่มน้ำศูนย์ศึกษาธรรมชาติกองทัพบก (บางปู) เฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา มหาราชินี , 2) พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำบางปะกงตอนล่าง และ 3) พื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำอิงตอนล่าง พร้อมทั้งอนุมัติขึ้นทะเบียนพื้นที่ชุ่มน้ำแม่น้ำอิงตอนล่าง เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับนานาชาติ.

2.(ร่าง) แนวทางการจัดระเบียบป้ายเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์เมือง ซึ่งเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย สำหรับใช้เป็นกรอบแนวทางการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อการจัดระเบียบป้าย ส่งเสริมให้เมืองและชุมชนมีสิ่งแวดล้อมภูมิทัศน์ที่ดี

3.การปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้ครอบคลุมการบำบัดน้ำเสีย ทั้งกิจกรรมการให้บริการจำหน่ายน้ำมัน การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง ซ่อมบำรุง รวมถึงการให้บริการอื่น ๆ ในสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง

4.การแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำในแหล่งน้ำผิวดิน เพื่อกำหนด สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานในลำน้ำและแหล่งน้ำ โดยเฉพาะกรณีการตรวจพบสารโลหะหนักในแม่น้ำกก จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่

นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 6 โครงการ ได้แก่ 1) อ่างเก็บน้ำห้วยน้ำจาง-ห้วยบ้านโตก อันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.เพชรบูรณ์ , 2) อ่างเก็บน้ำแม่ตายละ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ , 3) ก่อสร้างทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่ , 4) ทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข ๓๔๗ กับทางหลวงหมายเลข 3263 (แยกวรเชษฐ์) , 5) ทางหลวงหมายเลข 121 ช่วงจุดตัดทางหลวงหมายเลข 108- จุดตัดทางหลวงหมายเลข 11จ.เชียงใหม่ และ 6) งานก่อสร้างสายส่งระบบ 115 เควี ช่วงสถานีไฟฟ้าแรงสูงวชิราลงกรณ – สถานีไฟฟ้าสังขละบุรี อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี เพื่อแก้ไขปัญหาระบบการชลประทานให้ประชาชนใน จ.เพชรบูรณ์ และ จ.เชียงใหม่ เพิ่มศักยภาพในการเดินทางและขนส่งสินค้า ช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดใน จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.เชียงใหม่ รวมทั้งเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี

โดยนายประเสริฐ ได้มีเน้นย้ำต่อที่ประชุมและมีข้อสั่งการไปถึงผู้เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนว่า กรณีที่สื่อมวลชนนำเสนอเกี่ยวกับการตรวจพบกองขยะอันตรายที่ อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี หรือเหตุการณ์พบสารปรอทในแม่น้ำกก ก็ขอให้ทุกฝ่ายหาทางเร่งแก้ไขปัญหาทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้เหลือน้อยที่สุด พร้อมสร้างความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้จากการได้ร่วมการประชุมคณะกรรมการอาหารแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิได้มีประเด็นเกี่ยวกับ ‘ขยะอาหาร’ (food waste) ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น และกำลังจะเป็นประเด็นทางด้านสิ่งแวดล้อม ก็ขอมอบนโยบายให้ฝ่ายเลขาฯ ศึกษาหาแนวทาง มาตรการ หรือวิธีการที่ทำให้ลดลง หรือควบคุมไม่ให้เกิดปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

“ผมให้ความสำคัญกับการบำบัดน้ำเสียก่อนลงปล่อยสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ไม่อยากให้เป็นแบบข่าว เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2568 ที่เจอน้ำทิ้งสีดำคล้ำและมีกลิ่นเหม็น ถูกปล่อยลงชายหาดอ่าวประจวบ โดยไม่มีการบำบัด จึงขอให้ฝ่ายเลขาฯ สำรวจและสร้างความเข้าใจกับองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในการเสนอของบประมาณการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ส่วนเรื่อง EIA ก็ขอเน้นย้ำอีกครั้งให้ท่านคณะกรรมการฯ ช่วยกันดูรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมให้ละเอียด ตรวจสอบข้อมูลที่ผู้ศึกษาจัดทำมาว่าเป็นข้อมูลที่เป็นการตรวจสอบจริงภายใต้โครงการจริง และฝากช่วยกันดูว่าโครงการที่เสนอมามีความคุ้มค่า คุ้มเสีย กับผลกระทบที่จะเกิดในระยะยาวหรือไม่และหาข้อสรุปให้ได้ว่าควรทำหรือไม่ควรทำ”.

นายประเสริฐ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 2-4 พฤษภาคม 2568 ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการเขต 12 จังหวัดนครราชสีมา เพื่อลงไปดูการรับมือภัยแล้งและน้ำท่วม โดยเฉพาะที่เขื่อนลำตะคอง พบว่ามีปริมาณน้ำเหลือใช้เพียง 16% จึงขอฝากให้ทระทรวงทรัพยากรธรรชาติและสิ่งแวดล้อม บูรณาการกับกระทรวงมหาดไทย และ สนทช. อย่างใกล้ชิด ในการพิจารณามีวิธีการบำบัดน้ำเสียเพื่อมาใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตรให้มากขึ้น ลดการระบายลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดปัญหาน้ำเน่าเสียส่งผลกระทบต่อระบบต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งสามารถทำได้แล้วในหลายประเทศ และเชื่อว่าประเทศไทยก็จะต้องทำให้ได้เช่นกัน

Back to top button