EASTW ดึงเงิน “ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์” ไถ่ถอนหุ้นกู้ 1.2 พันล้านบาท

“อีสท์วอเตอร์” ดึงเงิน “ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์” บริษัทลูกก้อนใหญ่ไถ่ถอนหุ้นกู้งวด 16 มิ.ย.นี้ 1,200 ล้านบาท เตรียมพร้อมออกหุ้นกู้ใหม่อีก 2,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนธุรกิจ ส่วนกรณีพิพาทกรมธนารักษ์ ขอคืนพื้นที่โครงการหนองปลาไหล-หนองค้อ 4 ไร่ 3 งาน 21 ตารางวา เตรียมแผนสำรองหากแพ้คดีโยกใช้ท่อใหม่ จากโครงข่าย 553 กิโลเมตร


นายบดินทร์ อุดล กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EASTW เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า สถานะทางการเงินและการพิพาทกับภาครัฐ บริษัทได้เตรียมเงินสำหรับไถ่ถอนหุ้นกู้ครั้งที่ 1/2558 ชุดที่ 2 ที่จะครบกำหนดวันที่ 16 มิถุนายน 2568 จำนวน 1,200 ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว โดยนำกระแสเงินสดของบริษัท 900 ล้านบาท และเงินจากบริษัท ยูนิเวอร์แซล ยูทีลิตี้ส์ จำกัด (UU) 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นบริษัทลูกมาใช้ในครั้งนี้

โดย ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 EASTW มียอดเงินฝากประจำกับสถาบันการเงินจำนวน 1,125.86 ล้านบาท และเงินฝากประจำตามข้อกำหนดสัญญาสัมปทานจำนวน 570.13 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 1,695.99 ล้านบาท โดยอยู่ภายใต้รายการสินทรัพย์ทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธีราคาทุนตัดจำหน่าย

ส่วนแผนการออกหุ้นกู้ปี 2568 บริษัทจัดเตรียมความพร้อมสำหรับการออกหุ้นกู้ใหม่จำนวน 2,000 ล้านบาท โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ โอกาส และความจำเป็นในการขับเคลื่อนธุรกิจ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ของหุ้นกู้เดิมแต่อย่างใด

ส่วนเรื่องคดีความ ประกอบด้วยคดีแพ่งที่กรมธนารักษ์ฟ้อง EASTW เรื่องการขับไล่และให้รื้อถอนทรัพย์สินจากพื้นที่พิพาท จำนวน 4 ไร่กว่า ๆ นั้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินคดีในชั้นศาล ซึ่งบริษัทได้ยื่นคำให้การต่อศาลเรียบร้อยแล้ว และคดีปกครองที่ EASTW ฟ้องกรมธนารักษ์ตั้งแต่ปี 2566 ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า หนังสือที่ธนารักษ์แจ้งอีสท์วอเตอร์นั้น “มิใช่คำสั่งทางปกครอง” จึงพิพากษา “ยกฟ้องบริษัท” ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทสร้างท่อทดแทนทรัพย์สินที่ได้ส่งคืนกรมธนารักษ์ครบถ้วนเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนี้กรมธนารักษ์เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง EASTW ต่อศาลแพ่ง โดยขอให้ศาลฯ พิพากษาบังคับขับไล่อีสท์วอเตอร์ (จำเลย) ออกจากพื้นที่ทับซ้อนบนที่ดินที่ราชพัสดุแปลงหมายเลขทะเบียนที่ ส.รย.1307 (บางส่วน) โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ

สำหรับพื้นที่ทับซ้อนบริเวณที่ดินที่ราชพัสดุบริเวณสถานีหุบบอน Regulation Well จ.ชลบุรี และที่ดินที่ราชพัสดุโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ (บางส่วน) เนื้อที่ 4 ไร่ 3 งาน 21 ตารางวา โดยให้อีสท์วอเตอร์รื้อถอนทรัพย์สินและสิ่งปลูกสร้างออกจากพื้นที่ รวมทั้งให้ชำระค่าเสียหายให้กรมธนารักษ์อีก 127.7 ล้านบาท

นายบดินทร์ กล่าวว่า กรณีเลวร้ายสุด (worst case) ศาลสั่งให้คืนพื้นที่ดังกล่าว และสูญเสียสถานีสูบน้ำแห่งที่ 2 จากทั้งหมดมีอยู่ 17 แห่ง บริษัทก็ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว โดยการปรับเปลี่ยนเส้นทางของท่อน้ำใหม่ ซึ่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน แต่ยอมรับว่าท่อบริเวณดังกล่าวเป็นรายได้หลักของบริษัท อย่างไรก็ตามเชื่อว่าคดีดังกล่าวยังต้องใช้เวลาสู้คดีกันอีกไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี

ขณะที่ ปัจจุบันบริษัทมีเครือข่าย Water Grid ความยาวทั้งสิ้น 553 กิโลเมตร กลับมาเป็นโครงข่ายท่อส่งน้ำที่สมบูรณ์ที่สุด สร้างความมั่นคงด้านน้ำให้กับอีอีซี และให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้ EBITDA ในไตรมาสแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 39.45% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ดังที่ได้รายงานงบการเงินไตรมาส 1/2568 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทได้ก้าวผ่านจุดต่ำสุด และคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต

ปัจจุบัน EASTW มีสัดส่วนรายได้แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ รายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบ 51%  น้ำประปา 26% น้ำสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม 6% และในอนาคตจะมีการขยายงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำเสีย

ล่าสุดบริษัทได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 7 พ.ค. 2568 เรื่องการแต่งตั้งกรรมการทดแทนกรรมการที่ลาออก ได้แก่ นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ กรรมการจากผู้ถือหุ้นการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) และนายสำเริง แสงภู่วงศ์ กรรมการอิสระ ส่งผลให้บริษัทได้คณะกรรมการบริหารที่มีความรู้ความสามารถมาช่วยขับเคลื่อนบริษัทครบทุกตำแหน่ง

สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/2568 พลิกมีกำไร 6 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 21 ล้านบาท เนื่องจากการควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยบริษัทมีรายได้จากการขายและบริการรวม 920.28 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 145.90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13.68% สาเหตุหลักจากปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบที่ลดลง

อย่างไรก็ดี บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้นทุนขายและบริการอยู่ที่ 686.24 ล้านบาท ลดลง 207.36 ล้านบาท หรือ 23.20% เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันปี 2567 ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 8.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.56 ล้านบาท หรือคิดเป็น 147.71% โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 6.15 ล้านบาท

ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากการที่บริษัทไม่ต้องซื้อน้ำดิบจากผู้ประกอบการภายนอก เพื่อส่งน้ำให้ลูกค้าเป็นการชั่วคราวอีกต่อไป หลังโครงการระบบท่อส่งน้ำทดแทนที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของกรมธนารักษ์ทั้ง 4 โครงการ ได้แก่ ท่อหนองปลาไหล-หนองค้อ, หนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะ 1 และ 2), ดอกกราย-มาบตาพุด และมาบตาพุด-สัตหีบ ก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2567

ทั้งนี้ แม้รายได้รวมจะลดลง แต่บริษัทสามารถรักษาฐานลูกค้าได้ในระดับสูง และลดต้นทุนจากการไม่ต้องซื้อน้ำดิบเพิ่มเติม ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้พลิกกลับมามีกำไรอย่างชัดเจน

Back to top button