
OSP กำไร Q1 โต 53% แตะ 1.26 พันลบ. คุมต้นทุนอยู่หมัด-ส่งออก CLMV หนุนแรง
OSP โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 1/68 เติบโต 53% แตะ 1,265 ล้านบาท จากปีก่อน รับแรงหนุนจากแผนควบคุมค่าใช้จ่าย ขณะที่ยอดขายต่างประเทศพุ่งสองหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV หนุนธุรกิจเครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคล
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP รายงานผลประกอบการไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2568 พบว่ามีกำไรสุทธิ ดังนี้
บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาส 1/68 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,265.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.70% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 828.50 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 5.8% โดยเน้นการบริหารจัดการทั้งค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารอย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด
ขณะที่ ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในไตรมาส 1/68 เติบโต 2.60% จากปีก่อน โดยโอสถสภายังเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 44.80% ลดลงจาก ปีก่อน 1.60% และลดลงจากไตรมาสก่อน 0.2% ซึ่งในไตรมาส 1/68 โอสถสภาได้มีการ ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ่านเครื่องดื่มเอ็ม-150 ฝาเหลืองลิมิเต็ด เอดิชั่น พร้อมเฉลิมฉลองความสำเร็จตลอด 40 ปีด้วยกิจกรรมการตลาดที่สร้างความแตกต่าง และการทำการตลาดที่มีประสิทธิภาพในเครือข่ายการจัด จำหน่ายและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งใน ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องสามเดือนติดต่อกันนับจากเดือน ธ.ค. 67
ส่วนตลาดเครื่องดื่ม Functional Drinks เติบโต 1.60% จากปีก่อน โดยโอสถสภาครองอันดับหนึ่งด้วยส่วนแบ่งการตลาด 46.60% เพิ่มขึ้น 3.70% จากปีก่อนจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มซี-วิท ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินซีอยู่ที่ 76.30% เพิ่มขึ้น 3.40% จากปีก่อน และการเติบโตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเปปทีนและเครื่องดื่มคาลพิส ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.6% และ 0.4% ตามลำดับ สะท้อนความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมีรายได้จากต่างประเทศอยู่ที่ 2,269 ล้านบาท เติบโต 22.20% จากปีก่อน อยู่ที่ 1,857 ล้านบาท โดยหลักมาจากกลุ่มประเทศ คือ กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกอบด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนามโดยเฉพาะการเติบโตเป็นเลขสองหลักในเมียนมาร์และลาว ในขณะ ที่กลุ่มส่งออกเติบโตได้ดีจากกลุ่มประเทศยุโรป
อีกทั้ง กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลสำหรับไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 666 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.10% จากปีก่อน ซึ่งมาจาก รายได้ในประเทศเติบโต 9.60% ผลักดันโดยผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก และครอบครัว ภายใต้แบรนด์เบบี้มายด์และอัลตร้ามายด์ ผ่านการออกสินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่กว้างขึ้น รวมถึงมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ บำรุงผิวหน้า เฟิร์ส แคร์ครีม และครีมอาบน้ำสำหรับ ผู้ใหญ่ รวมถึงผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายสำหรับผู้ชายภายใต้แบรนด์ เอ็กซิท ที่เย็นสดชื่น ช่วยลดการสะสมเหงื่อ และระงับกลิ่นกาย (+) รายได้จากต่างประเทศเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก จากการขยายสู่ ตลาดต่างประเทศมากขึ้นของแบรนด์เบบี้มายด์
นางสาวรติพร ราษฎร์เจริญ Group Chief Financial Officer OSP เปิดเผยผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2568 (มกราคม-มีนาคม) บริษัทฯมีรายได้ของกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มจำนวน 5,821 ล้านบาท เติบโต 9.1% QoQ โดยมีการเติบโตโดดเด่นในตลาดต่างประเทศถึง 55.9 % จากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะในเมียนมาร์และลาว รายได้ในประเทศลดลง 8.4% จากไตรมาสก่อนหน้าจากการปรับโครงสร้างการขายและการจัดจำหน่าย
ทั้งนี้ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังในประเทศมีอัตราการเติบโต 2.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโอสถสภาเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งการตลาด 44.8% และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่องนับตั้งแต่ธันวาคม 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่โอสถสภาเริ่มขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ผ่านเครื่องดื่ม M-150 ฝาเหลืองลิมิเต็ดเอดิชั่นในโอกาสครบรอบ 40 ปี พร้อมจัดเต็มกิจกรรมการตลาดที่สร้างความแตกต่าง เพิ่มประสิทธิภาพเครือข่ายการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีแบรนด์ M-150 ครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 31.2%
ด้านกลุ่มเครื่องดื่มฟังชันนัลดริงก์เติบโต 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยโอสถสภาครองอันดับ 1 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 46.6% เพิ่มขึ้น 3.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มซี- วิท ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มเครื่องดื่มวิตามินซีอยู่ที่ 76.3% เพิ่มขึ้น 3.4% YoY รวมถึงเครื่องดื่มเปปทีนและเครื่องดื่มคาลพิส ที่มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน สะท้อนความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การรุกสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อส่งมอบเครื่องดื่มที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย
ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลมีรายได้เติบโต 10.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีการเติบโตโดดเด่นในตลาดต่างประเทศ ทั้งนี้ บริษัทฯ ทำกำไรสุทธิ 1,265 ล้านบาท เติบโต 123.2% เมื่อเทียบไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 52.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นางสาวรติพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เราเดินหน้ากลยุทธ์เชิงรุกรอบด้าน หลังจากเสร็จสิ้นการปรับโครงสร้างการดำเนินธุรกิจ เพื่อมุ่งเน้นสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจหลัก ด้วยนวัตกรรมสินค้าและกิจกรรมการตลาดที่สร้างความแตกต่างและตอบโจทย์ผู้บริโภค ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลได้อย่างแข็งแกร่ง ตลอดจนการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ควบคุมต้นทุนและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำสถิติอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดที่ 40.3% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนถึงศักยภาพในการบริหารและกลยุทธ์สร้างการเติบโตระยะยาว โดยโอสถสภายังคงเดินหน้าสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทั้งคุณประโยชน์และรูปแบบที่หลากหลาย ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม อาทิ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง M-150 ฝาเหลืองรสชาติดั้งเดิมราคา 10 บาท เครื่องดื่มฟังก์ชันนัลดริงก์ เช่น แฮงค์สเตอร์ ผลิตภัณฑ์ดูแลส่วนบุคคลอย่างเบบี้มายด์แอนด์บียอนด์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาทิ อุทัยทิพย์เฮอบัลทินท์ พร้อมเตรียมเปิดตัวนวัตกรรมสินค้าใหม่ ๆ ในไตรมาส 2 นี้
โอสถสภาพร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกกลุ่มธุรกิจ คิดค้นนวัตกรรมเพื่อขยายฐานสู่กลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ และมุ่งมั่นยกระดับมาตรฐาน ESG รอบด้าน เพื่อสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดีของผู้บริโภค พัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มให้มีน้ำตาลต่ำกว่า 6% ทั้งหมดในปี 2568 ซึ่งบรรลุแล้ว 100% พร้อมรับมือภาษีน้ำตาลเฟส 4 ได้อย่างไร้ผลกระทบ และเดินหน้าพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับรางวัล Industry Mover จาก S&P Global ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 และผ่านการรับรองจาก CDP (Climate Disclosure Project) ในระดับ B สะท้อนถึงความจริงจังในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นระบบและความสามารถในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนทุกมิติ