
Moody’s หั่นเครดิตสหรัฐฯ เหลือ Aa1 ฉุดความเชื่อมั่นตลาดทุน
Moody’s ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ เหลือ Aa1 จาก Aaa หลังมองหนี้สาธารณะพุ่ง-ขาดวินัยการคลังฉุดเครดิต สะท้อนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (17 พ.ค. 68) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า สหรัฐอเมริกา สูญเสียอันดับเครดิตที่สูงสุดสุดท้ายของตนเองเมื่อ Moody’s Investors Service ทำการลดสถานะของประเทศจาก Aaa ที่คงอยู่มายาวนานลงเป็น Aa1 สาเหตุเกิดจากหนี้รัฐบาลที่เพิ่มขึ้นและการขาดดุลที่ต่อเนื่อง
โดยเป็นจุดสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีปัญหาในขณะที่ กฎหมายการใช้จ่ายสำคัญกำลังประสบกับอุปสรรคในสภาคองเกรส ซึ่งการลดอันดับนี้เกิดขึ้นพร้อมกับความล้มเหลวของข้อเสนอทางภาษีและการใช้จ่ายขนาดใหญ่ของทรัมป์ที่ถูกกีดขวางโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยมด้านการคลังในระหว่างการลงคะแนน
โดยการดำเนินการของ Moody’s สอดคล้องกับ S&P ในปี 2011 และ Fitch ในปี 2023 ทำให้สหรัฐอเมริกาไม่มีการจัดอันดับ Aaa จากหน่วยงานสำคัญอีกต่อไป
Moody’s ระบุว่าการลดอันดับนี้เกิดจากการเพิ่มขึ้นของหนี้รัฐบาลและอัตราการชำระดอกเบี้ยที่สำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งทั้งสองรายการนี้สูงกว่าประเทศอธิปไตยที่เทียบเคียงได้ Moody’s คาดการณ์ว่าการขาดดุลของรัฐบาลกลางจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 9% ของ GDP ภายในปี 2035 ซึ่งถูกผลักดันโดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น การใช้จ่ายในผลประโยชน์สาธารณะ และการโตของรายได้ที่ค่อนข้างจำกัด ต่อมา หนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐอาจเพิ่มขึ้นถึง 134% ของ GDP ภายในปี 2035 ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 98% ในปีที่ผ่านมา
จากสถานการณ์นี้ ทำเนียบขาวได้ปกป้องนโยบายการคลังของตนเอง โดย Steven Cheung ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารการรณรงค์วิจารณ์หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก Moody’s บนแพลตฟอร์ม X โดยกล่าวอ้างว่าการวิเคราะห์มักจะมองข้ามเรื่องสำคัญไปและมักจะขาดความแม่นยำ
ในขณะที่ Moody’s ปรับเปลี่ยนมุมมองจาก “เชิงลบ” เป็น “เสถียร” พร้อมเตือนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศกำลังอ่อนแอลงในการเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆ ที่มีอันดับสูง และยังเทียบกับผลการดำเนินงานในอดีตของตัวเองอีกด้วย
อีกทั้ง Moody’s ตำหนิรัฐบาลชุดก่อนและรัฐสภาว่าเป็นสาเหตุของการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มสูงขึ้น และระบุว่าไม่มีแนวโน้มที่จะลดลง วันศุกร์ที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใน กรุงวอชิงตัน ยังคงดำเนินการร่างแผนลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมาก Moody’s คาดว่าจะทำให้หนี้รัฐบาลกลางเพิ่มขึ้นเป็นล้านล้านดอลลาร์ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ด้านผู้แทนกระทรวงการคลัง ทำเนียบขาวไม่ได้ตอบรับคำขอแสดงความคิดเห็นในทันที
ขณะที่ ตลาดการเงินหลักตอบสนองต่อการตัดสินใจดังกล่าวอย่างรวดเร็ว โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นไปถึง 4.49% ขณะเดียวกันกองทุนรวมที่ติดตามดัชนี S&P 500 ปรับลดลง 0.6% ในการซื้อขายหลังตลาดปิดช่วงเวลาปกติ
เทรซี เฉิน ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอจาก Brandywine Global Investment Management กล่าวว่า การปรับลดระดับเครดิตอาจทำให้นักลงทุนต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากพันธบัตรรัฐบาล แม้ว่าราคาสินทรัพย์ของสหรัฐฯ จะพุ่งขึ้นหลังจาก Fitch และ S&P ปรับลดระดับเครดิตของสหรัฐฯ ไปก่อนหน้านี้ แต่ยังต้องติดตามว่าตลาดจะมีปฏิกิริยาแตกต่างออกไปหรือไม่ เนื่องจากความปลอดภัยของพันธบัตรรัฐบาลและดอลลาร์สหรัฐยังคงไม่แน่นอน
การเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางอยู่ใกล้ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีหรือคิดเป็นมากกว่า 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) เศรษฐกิจสหรัฐที่อ่อนแอลงจากสงครามภาษีศุลกากรทั่วโลก ส่งผลให้การขาดดุลเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายของรัฐบาลมักจะเพิ่มตามเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว
ทั้งนี้ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐกล่าวกับสมาชิกรัฐสภาว่าสหรัฐกำลังเผชิญกับเส้นทางที่ไม่ยั่งยืน โดยระบุว่า ตัวเลขหนี้น่ากลัวมากและวิกฤตนี้อาจทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักอย่างกะทันหันเนื่องจากสินเชื่อจะหายไป
พร้อมยืนยันว่าเขามุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งสมาชิกรัฐสภากำลังผลักดันแพ็คเกจภาษีที่รวมถึงการขยายระยะเวลาบทบัญญัติในพระราชบัญญัติลดหย่อนภาษีและการจ้างงานปี 2017 ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการชะลออัตราการใช้จ่าย โดยคณะกรรมการภาษีร่วมประเมินต้นทุนรวมของร่างกฎหมายนี้ไว้ที่ 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ขณะที่นักวิเคราะห์อิสระบางรายเตือนว่าค่าใช้จ่ายอาจสูงกว่านี้มาก หากมีการขยายระยะเวลาของบทบัญญัติชั่วคราวในกฎหมายฉบับนี้ออกไปอีก
ส่วนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา คณะกรรมการหลักของสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถผลักดันร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของพรรครีพับลิกันได้เนื่องจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมหัวรุนแรงในพรรคต่อต้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ขัดขวางร่างกฎหมายดังกล่าว เพราะกังวลเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้น
ขณะที่ โจเซฟ ลาโวร์กนา อดีตเจ้าหน้าที่สภาเศรษฐกิจแห่งชาติในทำเนียบขาวสมัยรัฐบาลทรัมป์ชุดแรก กล่าวว่า เวลาที่มีการปรับลดระดับเครดิตนั้นผิดปกติ เพราะรัฐสภายังอยู่ระหว่างการพิจารณาร่างกฎหมายสำคัญ อัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ที่ 100% ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกในระดับโลก ลาโวร์กนา ซึ่งปัจจุบันเป็นหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์สหรัฐของบริษัทหลักทรัพย์ SMBC Nikko Securities ระบุว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่เติบโตเร็วที่สุดและมีผลผลิตต่อหัวสูงสุด ดังนั้นการปรับลดระดับเครดิตจึงไม่สมเหตุสมผล
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพและประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุน (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล กล่าวว่านับเป็นครั้งแรกใน 100 ปี สหรัฐไม่เหลือ AAA Rating อีกต่อไป โดย Moody’s ปรับลดอันดับ Aaa ตัวสุดท้ายที่สหรัฐมีล่าสุดเหลือ Aa1 ซึ่งทำให้ประเทศที่เคยมีความน่าเชื่อถือดีที่สุดของโลก ได้เคยรับ AAA จากทั้ง S&P’s Moody’s และ Fitch จนถึงปี 2010 ตอนนี้ กลายเป็นประเทศที่อยู่แถวที่สอง
โดยส่วนหนึ่งมาจากหนี้ภาครัฐของสหรัฐที่ 36 ล้านล้านดอลลาร์ คิดเป็นประมาณ 124% ของ GDP อีกส่วนมาจากแผนการลดภาษีของ President Trump ที่กำลังรออนุมัติในรัฐสภา ที่จะทำให้สหรัฐก่อหนี้เพิ่มอีกอย่างน้อย 4 ล้านล้านดอลล่าร์ ตลอดจน ขาดดุลการคลังเพิ่มจาก 6.4% เป็นประมาณ 9% ใน 10 ปีข้างหน้า