“บล.โกลเบล็ก” มองบวก BGRIM ครึ่งหลังปี 68 ลุ้นกำไรแกร่ง ชูเป้า 13.70 บาท

บล.โกลเบล็ก มองบวก BGRIM คาดกำไรครึ่งหลังปี 68 โตจากไตรมาสก่อน พ่วงรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 13.70 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุถึง บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ว่าท่ามกลางความกังวลของนักลงทุน การปรับเปลี่ยนนโยบายอัตรารับซื้อไฟฟ้า (FiT) ของเวียดนามได้สร้างความไม่มั่นใจในธุรกิจพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยเกิดความไม่แน่นอนหลังหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลท้วงติงเกี่ยวกับหนังสือรับรองการเข้าสู่ระบบ (Commissioning Acceptance Certificates: CCA) จากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า (Ministry of Industry and Trade: MOIT) ระบุว่า โครงการที่ไม่มี ใบรับรอง CCA ที่ถูกต้อง จะไม่สามารถรับ FiT ได้

ขณะที่ การไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity: EVN) ได้จัดเก็บ FiT ชั่วคราวกับโครงการลมและโซลาร์กว่า 170 โครงการโดยไม่มีข้อตกลงร่วมกัน สร้างแรงกดดันและเสียงคัดค้านจากนักลงทุนจำนวนมาก เหตุการณ์นี้ยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือและความต่อเนื่องของนโยบาย ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระและลดความมั่นคงทางกฎหมายของสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ระยะยาว

ส่วนการประชุมนักวิเคราะห์ BGRIM เปิดเผยว่า โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ Phu Yen TTP (บริษัทถือหุ้น 80% ขนาด 257MW) และ Dau Tieng Tay Ninh Energy (DTE, บริษัทถือหุ้น 100% ขนาด 240MW) สามารถเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ในเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา แต่ได้รับ CCA จาก MOIT ในปี 2563

ทั้งนี้ ทำให้ EVN คำนวณอัตรารับซื้อไฟฟ้าตามวันที่ได้รับ CCA ภายหลัง ส่งผลให้ EVN จ่ายค่าไฟฟ้าด้วยอัตรา FiT ชั่วคราวเพียง 7.09 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง แทนอัตรา FiT เดิมที่ 9.35 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง

ขณะที่ BGRIM บันทึกส่วนต่าง 2 เซนต์นี้เป็นบัญชีลูกหนี้ โดยนับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน 2568 รวมเป็นมูลค่าประมาณ 180-200 ล้านบาท

ทั้งนี้ เนื่องจาก BGRIM ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบทุกประการ จึงมีแนวโน้มที่จะกลับมารับรู้รายได้อย่างเต็มจำนวน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา และอาจมีการพิจารณาขยายระยะเวลาสัญญาเพื่อคงอัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR) เดิม

นอกจากนี้ บริษัทกำลังพิจารณาขายไฟฟ้าตรงผ่าน PPA แทนการขายผ่าน EVN หากกรณีร้ายแรงสุด อัตรา FiT ถูกปรับลดถาวรเหลือ 7.09 เซนต์สหรัฐ/กิโลวัตต์ชั่วโมง กำไรสุทธิของ BGRIM อาจลดลง 360-400 ล้านบาทต่อปี หรือประมาณ 0.14-0.15 บาทต่อหุ้น

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายนักวิเคราะห์มีมุมมองต่อผลประกอบการ BGRIM ในช่วงครึ่งปีหลัง 2568 ในแง่ดีขึ้น โดยมีแรงหนุนจากปัจจัย คือ 1.) อัตรากำไรขั้นต้นที่ค่อนข้างคงที่จากไตรมาสก่อนหน้า แม้ราคาขายไฟฟ้าต่ำลงแต่ได้ผลบวกจากราคาก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะลดลง

2.) ปริมาณขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลจากไตรมาสก่อนหน้า และ 3.) การรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ในปี 2568–2569 ได้แก่ โครงการลม KOPOS 10MWe ในเกาหลีใต้, โครงการโซลาร์ IBS 19 MWe ในไทย, โครงการโซลาร์ ARECO1 65 MW ในฟิลิปปินส์, และโครงการลม Nakwol1 179MWe ในเกาหลีใต้

โดยฝ่ายวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” BGRIM ด้วยราคาเป้าหมายตามวิธี SoTP อยู่ที่ 13.70 บาท มองว่าความกังวลเรื่องเพดานค่าไฟในไทยและประเด็น FiT ในเวียดนามสูงเกินจริง ขณะที่ต้นทุนก๊าซที่ลดลงจะช่วยชดเชยแรงกดดันของอัตราค่าไฟ ส่วนการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ BGRIM ในเวียดนามก็สะท้อนความเสี่ยงขาลงที่จำกัด

Back to top button