MEGA มั่นใจกำไรปี 68 ทะลุ 2 พันลบ. ปักหมุดลงทุน “อินโด-เวียดนาม” ต่อเนื่อง

MEGA กางแผนปี 68 กำไรโตไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมทุ่มงบลงทุน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายธุรกิจช่วง 2-3 ปีข้างหน้า อาทิ อินโดนีเซีย-เวียดนาม แย้มปีนี้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 35 รายการ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันระดับภูมิภาค


นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MEGA ได้เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจผ่านในงาน Opportunity Day ที่จัดโดย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 ว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 449.84 ล้านบาท ลดลง 5.82% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 477.65 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการดำเนินงานรวม อยู่ที่ 3,207.70 ล้านบาท ลดลง 14.10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 3,732.70 ล้านบาท การลดลงมาจากธุรกิจจัดจำหน่าย MaxxcareTM ในประเทศเมียนมาร์ รวมทั้งผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากค่าเงินบาทแข็งค่า ในช่วงไตรมาสที่ผ่านมา MEGA ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์ที่วางไว้ล่วงหน้าเมื่อ 5 ปีก่อน มีเป้าหมายหลัก คือ double bottom line

โดยบริษัทฯ ได้มีการลงทุนหลายพันล้านบาท อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม รวมถึงไทย ซึ่งแผนการลงทุนของบริษัทฯ จัดเตรียมงบประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับช่วง 2-3 ปีนี้ ยกตัวอย่าง อินโดนีเซีย ลงทุน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงาน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2569 และเวียดนาม ลงทุน 25 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนขออนุญาต และการก่อสร้างโรงงานคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ปี จึงจะเริ่มผลิตสินค้า ส่วนการลงทุน เมียนมา งบประมาณยังไม่แน่นอน โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 15–20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การลงทุนในอินโดนีเซีย บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจทั้งในรูปแบบการผลิตสินค้าเองและการนำเข้าสินค้า ขณะนี้ มีผลิตภัณฑ์ที่บริษัทพัฒนาและบางส่วนอยู่ระหว่างการเตรียมยื่นขอจดทะเบียนผลิตภัณฑ์ จากแผนงานที่วางไว้ คาดว่าในอีก 1–2 ปีข้างหน้า ธุรกิจในอินโดนีเซียจะสามารถเข้าสู่จุดคุ้มทุน (break-even point) และเมื่อถึงปี 2030 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกำไรสุทธิราว 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ MEGA ยังได้ลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการสร้างแบรนด์ (branding) ซึ่งครอบคลุมทั้ง การซื้อสิทธิ์ในผลิตภัณฑ์ (product licensing), การเข้าซื้อผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป, การวิจัยและพัฒนาสินค้าใหม่ในช่วง 2–3 ปีข้างหน้า ผ่านงบลงทุนประมาณ 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายฐานแบรนด์ของ MEGA ในทุกประเทศที่บริษัทมีการดำเนินธุรกิจและมีทีมงานของ MEGA พร้อม

นอกจากนี้ บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์ยาประเภท Pharmaceutical ซึ่งเป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้การสั่งจ่ายของ แพทย์ ปัจจุบันดำเนินธุรกิจกลุ่มยาในหลายประเทศ ยกตัวอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย รวมทั้งประเทศในทวีปแอฟริกา สัดส่วนจากธุรกิจยาสูงถึงประมาณ 35-40% และยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกในอนาคต ซึ่งคาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า สัดส่วนน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 65% อีกทั้ง ณ ปลายปีนี้ MEGA มีแผนเปิดตัวยาสินค้าใหม่ 35 รายการ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของแผน 3-5 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความมั่นใจระดับ 90–95% เป้าหมายระยะยาวที่วางไว้ในแผนกลยุทธ์ยังคงสามารถบรรลุได้ แม้ในระยะสั้นจะยังมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างๆ แต่ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ก็ยังคงสอดคล้องกับที่เคยประกาศไว้ โดยปีนี้คาดว่าจะสามารถทำกำไรได้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท

ส่วนแผน ซื้อหุ้นคืน (Treasury-Stock) บริษัทฯ ไม่มีแผนดังกล่าว เนื่องจากเราอยู่ในช่วงของการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาว เรามองว่าบริษัทอยู่ในสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง และยังมีศักยภาพอีกมากในการขยายตลาด ดังนั้น การนำเงินทุนไปใช้ในการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ ถือเป็นแนวทางที่สร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้นได้มากกว่าในระยะยาว

“หากเราใช้เงินไปกับการซื้อหุ้นคืนโดยไม่ได้ขยายการลงทุนในธุรกิจหลักของเรา ก็อาจทำให้เราสูญเสียโอกาสในการแข่งขัน โดยเฉพาะในแต่ละประเทศที่มีคู่แข่งรายใหญ่ระดับโลก (MNCs) ซึ่งต่างก็ลงทุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เราต้องการใช้เงินทุนเพื่อเสริมสร้างแบรนด์ของเราให้แข็งแกร่ง เพื่อทำให้ MEGA เป็นบริษัทที่ “future-proof” และสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว สิ่งสำคัญคือ “อนาคตของเรา” มาจากแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ผู้บริโภคที่รู้จักและไว้วางใจในสินค้า ซึ่งนำไปสู่ยอดขายที่ต่อเนื่อง และกำไรที่มั่นคงในทุกปีเป้าหมายของ MEGA คือการสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น โดยมีเป้าหมายกำไรสุทธิปีละ 2,000–3,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้น” นายวิเวก กล่าวทิ้งท้าย

Company Snapshot

Back to top button