
7 โบรกเชียร์ซื้อ NER ฟอร์มสวย ชี้กำไรแกร่ง-ปันผลเด่น ชูเป้าสูงสุด 5.85 บาท
7 โบรกมอง NER โชว์ฟอร์มแกร่ง แนวโน้มกำไรครึ่งปีโตต่อเนื่องรับ Demand ยางรถ EV กลุ่ม Replacement พร้อมเป้าปริมาณขายยางปี 68 แตะ 500,000 ตัน พ่วงจ่ายปันผลสูง ส่วนไตรมาส 1/68 กำไรพุ่ง 34% แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.85 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มีมุมมอง “Neutral” ต่อ บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER หลังจากข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์เนื่องจากบริษัทยังคงเป้าหมายการขายที่ 500,000 ตัน เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้าและการเลื่อนเปิดโรงงานเป็นไปตามที่ฝ่ายนักวิเคราะห์คาด
โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่ากลยุทธ์ของ NER มีความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สำหรับโมเมนตั้มไตรมาส 2/68 คาดกําไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจากปริมาณการขายและราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น แต่คาดลดลงจากไตรมาสก่อน จากปัจจัย ฤดูกาล คงประมาณการกําไรสุทธิ 68 ที่ 1,974 ลบ. (เพิ่มขึ้น 19% จากปีก่อนหน้า) คงคำแนะนํา “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 5.85 บาท
โดยมีประเด็นสำคัญ คือ บริษัทคงเป้าปริมาณการขายปี 68 ที่ 500,000 ตัน คิดเป็นเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อนหน้าจาก 439,179 ล้านตันในปี 67 ผลักดัน โดย Demand ยางที่ใช้ในรถ EV จีนและยางที่ใช้เปลี่ยนแทนรถเก่ายังคงเพิ่มขึ้นและคาดคำสั่งซื้อจากอินเดียเพิ่มขึ้น
ขณะที่ Supply ในตลาดโลกลดลงจาก Supply อินโดนีเซียและเวียดนามลดลง ทั้งนี้มีการเลื่อนแผนขยายโรงงานในไทย (โรงงาน 3) ออกไปอย่างน้อย 6 เดือน จากเดิมบริษัทคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างกลางปี 68 เนื่องจากสถานการณ์ภาพรวมของโลกมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนําเข้าของสหรัฐ (Reciprocal tariff) แม้ยางแท่งและยางแผ่นจะได้รับการยกเว้นภาษี แต่อาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากที่ลูกค้าผลิตยางล้อรอดูสถานการณ์
บริษัทหลักทรัพย์ ลิเบอเรเตอร์ จำกัด ระบุว่า NER กำไรดีกว่าคาดโตทั้งจากปีก่อนหน้าและจากไตรมาสก่อน โดยไตรมาส 1/68 กําไรขยายตัวทั้งจากปีก่อนหน้า และจากไตรมาสก่อน ดีกว่าคาด 13.1% จากปริมาณขายมากกว่าคาด ส่วนความเสี่ยงมากขึ้นจากนโยบายทรัมป์ มีแนวโน้มปรับประมาณการลง และงบดี ปันผลสูง P/E เพียง 3.3 เท่า ยังพอเก็งกำไรสั้นๆ ได้ระหว่างนี้ ซึ่งไตรมาส 1/68 กําไรสุทธิ 609 ล้านบาท ขยายตัว 34% จากปีก่อนหน้าและ 69% จากไตรมาสก่อน หลังปริมาณขายมากกว่าคาด ได้แก่
ยอดขาย 8,698 ล้านบาท ขยายตัว 33% จากปีก่อนหน้า แต่หด 3% จากไตรมาสก่อน ภายใต้ปริมาณขายอยู่ที่ 127,090 ตัน เพิ่มขึ้น 11% จากปีก่อนหน้าแต่หด 7% จากไตรมาสก่อน ราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 68.44 บาท/ กิโลกรัม เพิ่ม 20% จากปีก่อนหน้าและเพิ่มขึ้น 4% จากไตรมาสก่อน ส่วนราคาขายที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าต้นทุนส่งผลให้อัตรากําไรขั้นต้นเพิ่มเป็น 10.6% จาก 8.8% ในไตรมาส 4/66 แต่ยังต่ำกว่า 11.6% ในไตรมาส 1/67
บริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด ระบุถึง NER รายงานกําไรสุทธิไตรมาส 1/68 ที่ระดับ 608.84 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่า 34.22% จากปีก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญของรายได้จากการขายที่เติบโตกว่า 32.96% จากปีก่อนหน้า อยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท
โดยแบ่งเป็นยอดขายในประเทศ สัดส่วน 69.87% ของยอดขายทั้งหมด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 24.81% จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 6.1 พันล้านบาท และรายได้จากต่างประเทศ 30.13% ของรายได้ทั้งหมด เติบโต 56.71% จากปีก่อนหน้าสู่ระดับ 2.6 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 10.88% มาอยู่ที่ระดับ 1.27 แสนตัน รวมถึง ราคาขายสินค้ายางเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 19.9% จากปีก่อนหน้า ส่วน SG&A to Sales ในช่วงไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 2.01% ลดลงจาก 2.33% ใน 1/67 จากการลดลงของค่าใช้จ่ายกิจกรรม CSR
ส่วน Gross Profit Margin ในไตรมาส 1/68 อยู่ที่ 10.61% ลดลงจาก 11.64% ในไตรมาส 1/67 โดยได้รับผลกระทบจากราคายางที่มีการเพิ่มขึ้นกระทบต่อสัดส่วนต้นทุนวัตถุดิบยางเมื่อเทียบกับรายได้มีต้นทุนสูงขึ้น
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2/68 และไตรมาส 3 จะยังเติบโตต่อและยังไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ Reciprocal Tariff โดยบริษัทยังคงเป้าปริมาณขายที่ 500,000 ตัน และมี Demand ยังเป็นบวกจากแนวโน้มยอดขายรถ EV ที่ยังเพิ่มขึ้นรวมถึงสัดส่วน Replacement Ratio ที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับ Supply ที่ปริมาณฝนที่เพิ่มขึ้นจะหนุนปริมาณการผลิต
ส่วนผลกระทบต่อมาตรการภาษี ลูกค้าโรงงานจีนในไทยไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากปริมาณส่งออกยางรถยนต์จากโรงงานจีนในไทยไปยังสหรัฐฯคิดเป็นเพียง 4% ของทั้งหมด ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามอยู่ที่การเจรจาระหว่างไทย-สหรัฐฯเพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีซึ่งจะมีผลต่อยอดขายในช่วงปลายไตรมาส 3/68 –ไตรมาส 4
บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ระบุถึง NER กําไรไตรมาส 1/8 ออกมาดี แต่ช่วงที่เหลือของปีอาจจะชะลอตัว ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูความชัดเจนของภาษีปรับคำแนะนําลงเป็นถือและปรับราคาเป้าหมายลงมาเป็น 4.50 บาท อิง Avg PER 4.5 เท่า แนวโน้มกําไรอาจจะชะลอลงในช่วงถัดไปและความไม่แน่นอนของภาษีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อปริมาณขายได้ โดยราคาหุ้นเคยทำจุดสูงสุดในปีที่ 5.05 บาท ก่อนปรับลดลงกว่า -15% ในช่วงเดือนเมษายนที่สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษี
โดย NER รายงานกําไรในไตรมาส 1/68 สุดโดดเด่นที่ 609 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% จากปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้น 69% จากไตรมาสก่อน ซึ่งไตรมาสก่อนมีผลของ Fx Loss ค่อนข้างมาก ในขณะที่ไตรมาสมีผลของ Hedging gain ถ้าไม่รวมผลของรายการดังกล่าวกําไรปกติอยู่ราว 595 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% จากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 23% จากไตรมาสก่อน โดยเพิ่มขึ้น จากปีก่อนหน้าจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากราคาขายปรับขึ้น
ส่วนแนวโน้มครึ่งหลังปี 68 ยังท้าทาย ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อเพื่อรอดูของภาษีสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้บริหารยังคงเป้าที่ 5 แสนตัน ยังคงประมาณการกําไรทั้งปีที่ 1.8 พันล้านบาท แต่อาจจะมี Downside ถ้าผลของภาษีสหรัฐฯ พ้น 90 วันแล้วไม่มีข้อยุติ
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุถึง NER กําไรยังแกร่งถึงไตรมาส 3/68 ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/68 เบื้องต้นคาดปริมาณขายลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน อยู่ที่ 1.2 แสนตัน ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยคาดปรับสูงขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับ GPM ลดลงเล็กน้อยเช่นกัน คาดเบื้องต้นที่ราว 10.0% จาก 10.6% ในไตรมาส 1/68 จากต้นทุนที่ขยับขึ้นจากราคาในไตรมาส 1/68 ขณะที่ราคาที่ลดลงในไตรมาส 2/68 มีวัตถุดิบให้ซื้อไม่มากทำให้ถัวเฉลี่ยราคาลงไม่ได้มาก คาดกําไรสุทธิที่ 500 ลบ.+/- ลดลง 10 – 15% จากไตรมาสก่อนแต่ยังเติบได้จากปีก่อนหน้า
ส่วนผลการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯต่อไทยและจีนทำให้ลูกค้ากลุ่ม Trader ซึ่งบริษัทฯ มียอดขาย ผ่านกลุ่มนี้ราว 60 – 70% ชะลอการซื้อ แม้ว่าแท้จริงแล้วลูกค้าจีนโดยตรงจะได้รับผลกระทบจํากัด เพราะยางล้อที่ผลิตในจีนมีการส่งออกไปสหรัฐฯเพียง 4% แต่ลูกค้ากลุ่ม Trader มักมีความอ่อนไหวต่อประเด็นเศรษฐกิจมหภาค แต่หลังจากที่สหรัฐฯและจีนมีการเจรจาและลดภาษีระหว่างกันลงชั่วคราวทำให้ลูกค้าเริ่มกลับมาทำการซื้อมากขึ้น แต่ยังอยู่ที่ระดับประมาณ 75% ของระดับปกติก่อนประกาศภาษีวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งผลกระทบนี้จะกระทบเต็มที่ในไตรมาส 4/68 แต่ถือว่าน้อยกว่าที่คาดไว้เดิมว่าอาจจะเริ่มกระทบชัดเจนในไตรมาส 3/68 เลย เนื่องจากยอดขายในไตรมาส 3/68 มากกว่า 70% มีการปิดการขายไปแล้วก่อน 2 เม.ย.
NER มีลูกค้ายางล้ออินเดียรายใหม่ 1 ราย คาดว่าจะเริ่มทำการซื้อขายไตรมาส 4/68 และจะไปหนุนรายได้ ไตรมาส 1/69 เป็นต้นไป และคาดว่าจะมีเพิ่ม1ราย ซึ่งเป็นรายใหญ่กว่ารายแรกจะทดสอบเสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ค
แผนขยายกําลังการผลิต บริษัทขอเลื่อนการพิจารณาออกไปอีก 6 เดือน หากสถานการณ์คลี่คลายได้ภายใน 90 วัน จะกลับมาเริ่มก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 3 ในไตรมาส 1/69 ด้วยกำไรไตรมาส 1/68 ที่ดีกว่าคาดและไตรมาส 2-3 ยังถูกกระทบจำกัด ประมาณการปัจจุบันเทียบเท่าคาดการณ์กำไรไตรมาส 4/68 อยู่ที่ระดับ 300 ลบ +/- ซึ่งถือว่ามี Downside risk จํากัด
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ภาพรวมปี2025 มีเป้าการขายที่ระดับ 500,000 ตันเริ่มมีความเสี่ยงจากการที่ลูกค้าบางส่วน มีการชะลอคำสั่งซื้อจากผลกระทบ เรื่องภาษีของสหรัฐฯ และทำให้ทางบริษัทมีการเลื่อนการสร้างโรงงานใหม่เป็นต้นปี 26 แทน อย่างไรก็ตามระยะยาว NER มองว่าจากการที่ไทยเป็นประเทศที่มีผลผลิตยางมากที่สุดในโลก ทำให้ได้ข้อสรุป เรื่องภาษีแล้วคำสั่งซื้อจะทยอยกลับมา ทั้งนี้จากกําไรขั้นต้นในช่วงไตรมาส 1/68 ที่มีเพียง 10.2% ทำให้เราปรับสมมติฐานทั้งปีลง จากเดิม 11% เหลือ 10.2%
จึงประเมินกําไรสุทธิได้ใหม่ที่ 1,863 ล้านบาท ยังแนะนํา “ซื้อ” เพราะยังมีจุดเด่นเรื่องเงินปันผลที่คาดผลตอบแทนเกือบ 10% แต่แนะนําให้รอความชัดเจนเรื่องภาษีก่อนเข้าลงทุน และยังคงแนะนํา “ซื้อ” แต่ปรับกําไรลงเล็กน้อย มีปัจจัยบวกมาจากการที่ไทยเป็นแหล่งวัตถุดิบยางพาราเบอร์ 1 ของโลก ทำให้แม้ว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ แต่บริษัทล้อยางยังคงต้องการยางพาราอยู่ ทำให้การขายยังมีโอกาสเติบโตได้
บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุถึง NER ไตรมาส 1/68 ทำได้ดีกว่าคาด ประมาณการรายได้ที่ 3.17 หมื่นล้านบาท กําไรสุทธิ 1.92 พันล้านบาท ทั้งนี้ ไตรมาส 1/68 มีกําไรสุทธิ 608.8 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34.2% จากปีก่อนหน้า) รายได้จากการขาย 8,698.0 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 33.0% จากปีก่อนหน้า) ที่ปริมาณขาย 1.27 แสนตัน (เพิ่มขึ้น 10.9% จากปีก่อนหน้า)
ขณะที่ ผู้บริหารยังตั้งเป้าปริมาณขาย 5 แสนตัน แนวโน้มไตรมาส 2/68 รายได้และปริมาณขาย ทรงตัวจาก ไตรมาส 1/68 ช่วงไตรมาส 3-4 ด้านราคาขายปริมาณขายและมีแนวโน้มลดลงจากครึ่งปีแรก คงประมาณการณ์รายได้ที่ 3.17 หมื่นล้านบาท และกําไรสุทธิ 1.92 พันล้านบาท และคงคำแนะนํา ชื้อ ที่ราคาเป้าหมายสิ้นปี 68 ที่ราคา 6.00 (ไม่เปลี่ยนแปลง)
โดยก่อนหน้านี้ บริษัทรายงานกําไรสุทธิไตรมาส 1/68 เท่ากับ 608.8 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34.2% จากปีก่อนหน้า , เพิ่มขึ้น 69.4% จากไตรมาสก่อน) ในงวดมีรายได้จากการขาย เท่ากับ 8,698.0 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 33.0%จากปีก่อนหน้า, แต่ลดลง 2.6% จากไตรมาสก่อน) มีปริมาณขาย 127,090 ตัน เพิ่มขึ้น 12,470 ตันหรือ เพิ่มขึ้น 10.9% เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1/67 แบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 69.9% และ รายได้จากการขายต่างประเทศ 30.1% ด้านอัตรากําไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 10.6% ลดลงจากช่วงไตรมาส 1/67 ที่ระดับ 11.6% ขณะที่ในงวดมีผลกระทบขาดทุนจากอัตรา แลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจริง 13.3 ล้านบาท