โบรกแนะช้อน “หุ้นพลังงาน” รับราคาน้ำมันพุ่ง ชู PTTEP เด่นสุด

บล.ดาโอ ชี้ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์-ไฟป่าแคนาดากดดันซัพพลายน้ำมัน หนุนหุ้นพลังงาน PTTEP เด่นสุด รับราคาน้ำมันพุ่ง พร้อมแนะเก็บ TOP-SPRC-BCP จากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน (Crack Spread) ที่ฟื้นตัว


ผู้สื่อข่าวรายงาน กรณี สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเกือบ 3% ในวันจันทร์ (2 มิ.ย.68) เนื่องจากเทรดเดอร์มีความกังวลเรื่องซัพพลายน้ำมัน หลังจากที่กลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือนก.ค. ซึ่งเพิ่มขึ้นในปริมาณเท่าเดิมต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันก็กังวลเรื่องสถานการณ์ไฟป่าในแคนาดาที่ส่งผลกระทบต่อการผลิตด้วย

ขณะเดียวกัน ไฟป่าที่กำลังลุกไหม้อยู่ในรัฐแอลเบอร์ตา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญของแคนาดา ได้ส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันดิบโดยรวมของประเทศไปแล้วประมาณ 7% นับจนถึงวันที่ 2 มิ.ย.68 โดยนักวิเคราะห์เปิดเผยว่า สถานการณ์ไฟป่าในรัฐแอลเบอร์ตาเริ่มส่งผลกระทบต่อการซื้อขายแล้ว

ทั้งนี้ สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปัจจัยเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Risk) กลับมาเป็นประเด็นที่นักลงทุนต้องจับตามองอีกครั้ง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกลับมาตึงเครียดอย่างรุนแรง

โดยล่าสุดรัสเซียได้ใช้โดรนจำนวนมากถึง 472 ลำ โจมตีพื้นที่ต่าง ๆ ของยูเครนในคืนเดียว ซึ่งนับเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ยูเครนเปิดปฏิบัติการตอบโต้ภายใต้ชื่อ “Operation Spider Web” ด้วยการใช้โดรนโจมตีสนามบินทหารของรัสเซียถึง 4 แห่ง สามารถทำลายเครื่องบินทิ้งระเบิดของรัสเซียได้ถึง 41 ลำ ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะมีการเจรจาแลกเปลี่ยนตัวนักโทษในลำดับถัดไป

ขณะเดียวกัน เกิดเหตุไฟป่ารุนแรงในรัฐอัลเบอร์ตา (Alberta) ประเทศแคนาดา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ำมันสำคัญ ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตน้ำมันถึง 344,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นประมาณ 7% ของกำลังการผลิตรวมของประเทศ นอกจากนี้ การเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและอิหร่านยังคงไม่มีความคืบหน้า โดยมีรายงานว่าอิหร่านเตรียมปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐฯ ซึ่งไม่มีการระบุประเด็นการยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรอย่างชัดเจน

สถานการณ์ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้า Brent ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% แตะระดับ 65.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ สะท้อนความกังวลของตลาดต่อภาวะอุปทานตึงตัวจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และภัยธรรมชาติ

ในส่วนของการผลิตน้ำมันฝั่ง OPEC+ ที่ประชุมออนไลน์เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2568 ซึ่งมีสมาชิกเข้าร่วม 8 ประเทศ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย รัสเซีย อิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) คูเวต คาซัคสถาน แอลจีเรีย และโอมาน มีมติคงแผนการถอนมาตรการลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ (Voluntary Production Cuts) ที่ระดับ 411,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับระดับเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สะท้อนการทยอยเพิ่มกำลังการผลิตรวมใกล้เคียง 1.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ระหว่างเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2568 โดยหากยังคงแนวโน้มนี้ต่อเนื่อง OPEC+ จะสามารถถอนมาตรการลดกำลังการผลิตทั้งหมดที่ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ได้ภายในสิ้นเดือนตุลาคม 2568

ในมุมมองด้านการลงทุน เรามองว่าแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้จากความตึงเครียดทางการเมืองและปัจจัยธรรมชาติที่อาจนำไปสู่ภาวะอุปทานขาดแคลนแบบเฉียบพลัน แม้ว่าแผนการเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ จะอยู่ในความคาดหมายของตลาดแล้วก็ตาม เราจึงยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยทั้งปีนี้ที่ 70.0 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับราคาเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันที่ 73.1 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล

ทั้งนี้ ทางฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ “เท่ากับตลาด” สำหรับกลุ่มพลังงาน โดยมองว่าหุ้นที่มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับราคาน้ำมันอย่าง PTTEP จะได้รับแรงสนับสนุนจากราคาขายเฉลี่ย (Blended ASP) ที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ระดับมูลค่าปัจจุบันยังไม่แพง และมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจ

สำหรับกลุ่มโรงกลั่น ทางฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองเชิงบวก จากแนวโน้มส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมัน (Crack Spread) ที่ฟื้นตัว จากไตรมาสก่อนหน้าในไตรมาส 2/2568 โดยหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่แนะนำ ได้แก่ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.50 บาท, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท, และบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท

Back to top button