“กรภัทร” มอง SET รีบาวด์ แนะลงทุน ADVANC-TRUE-MTC รับบอนด์ยีลด์ร่วง

นายกรภัทร วรเชษฐ์ มองตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ หลังลงลึก พร้อมแนะลงทุนธีมบอนด์ยีลด์ปรับตัวลง คือ ADVANC-TRUE-MTC


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ ข่าวหุ้นเจาะตลาด” เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.68 ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยรีบาวด์ หลังจากดัชนีลงลึกมามากแล้ว โดยจากการประเมิน ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม พบว่าหุ้นบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA มีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีเกินเกณฑ์ใหม่ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 10% อยู่ประมาณ 2% โดยเกณฑ์ใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 ซึ่งการเกินน้ำหนักดังกล่าวจะทำให้กองทุนประเภท Passive Fund ต้องปรับลดน้ำหนักการลงทุนลง คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลออกจาก DELTA ราว 1,200 ล้านบาท

ขณะที่กองทุนประเภท Active Fund ซึ่งสามารถปรับน้ำหนักได้ก่อนหน้านี้ ได้เริ่มทยอยขายหุ้นออกไปแล้ว โดยเมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา มีแรงขายจากฝั่ง Active คิดเป็นมูลค่าเงินไหลออกราว 3,000–4,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ามากกว่าที่ต้องปรับจริงเกือบ 3 เท่า จึงประเมินได้ว่าแรงขายส่วนใหญ่ได้เกิดขึ้นไปแล้วล่วงหน้า และผลกระทบจาก DELTA ต่อรอบการปรับน้ำหนักดัชนีในครั้งนี้จะเริ่มลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการปรับเกณฑ์ในรอบนี้เป็นครั้งแรกที่มีการนำหลักเกณฑ์การจำกัดน้ำหนักหุ้นเดี่ยวไม่เกิน 10% มาใช้ ส่งผลให้หุ้น DELTA ที่เคยมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีในอดีต ถูกจำกัดบทบาทลงอย่างชัดเจน ในอนาคต การเกินน้ำหนักจะถูกจัดการแบบ “เรียลไทม์” ระหว่างวัน ซึ่งช่วยเพิ่มเสถียรภาพในการคำนวณดัชนี ทำให้โครงสร้างดัชนี SET50 และ SET100 มีความสมดุลมากขึ้น และลดภาวะ “เขย่ง” ของตลาดที่เคยเกิดขึ้นจากการที่หุ้นบางตัวมีน้ำหนักมากเกินไปเพียงลำพัง

ในอีกด้าน เมื่อมีเงินไหลออกจากหุ้น DELTA ก็ย่อมต้องมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่หุ้นอื่นที่ยังมีน้ำหนักไม่เต็มเพดาน โดยนักวิเคราะห์มองว่าหุ้นที่มีแนวโน้มจะได้รับเม็ดเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT และ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL

โดยเฉพาะหุ้น ADVANC ได้รับความสนใจอย่างมากจากนักลงทุน หลังจากที่เคยถูกลดน้ำหนักในดัชนี MSCI ไม่ใช่เพราะพื้นฐานเปลี่ยน แต่เป็นเพราะการที่ GULF เข้ามาถือ INTUCH ทำให้ MSCI มองว่า ADVANC ไม่ใช่ Free Float แต่เป็น Strategic Holding ส่งผลให้น้ำหนักในดัชนีลดลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนสถาบันและต่างชาติที่เข้าใจโครงสร้างผู้ถือหุ้นยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในวัน MSCI Rebalance ซึ่งเห็นการซื้อ NVDR ใน ADVANC อย่างโดดเด่น

โดย ADVANC ยังถูกประเมินว่าเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเป็นผู้นำตลาดรอบใหม่ จากโครงสร้างผู้ถือหุ้นที่มั่นคงขึ้น การถือครองในระยะยาวเพิ่มขึ้น และการดำเนินกลยุทธ์ที่เน้นการยกระดับองค์กรสู่เทคโนโลยีและดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้รับการจัดอยู่ในกลุ่ม “หุ้นเบา” ที่พร้อมวิ่งในรอบถัดไป

ในเชิงโครงสร้างของดัชนี การเปลี่ยนผ่านในรอบนี้ถือเป็นการยกระดับคุณภาพดัชนีอย่างมีนัยสำคัญ โดยหุ้นที่มีน้ำหนักเกิน 10% จะถูกจำกัดบทบาทลง และเม็ดเงินจากการลดน้ำหนักจะถูกกระจายไปยังหุ้นขนาดใหญ่ที่ยังมีช่องว่างด้านน้ำหนัก เช่น ADVANC, PTT และ GULF ซึ่งจะช่วยลดการกระจุกตัวและทำให้ดัชนีสะท้อนภาพรวมของตลาดได้ชัดเจนและเป็นธรรมชาติมากขึ้น

สำหรับการเคลื่อนไหวของ SET Index จากนี้ไปจึงมีแนวโน้มจะเป็นภาพสะท้อนของเศรษฐกิจและตลาดทุนที่แท้จริงมากกว่าการเคลื่อนไหวตามหุ้นรายตัวเพียงตัวเดียวเหมือนในอดีต

ในเชิงกลยุทธ์ภาพรวมตลาด นักลงทุนเริ่มมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อภูมิภาคเอเชีย และตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดยเฉพาะในบริบทที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เริ่มอ่อนค่าลง เงินทุนบางส่วนเริ่มเคลื่อนออกจากสหรัฐฯ มายังตลาดอื่นที่มีความน่าสนใจด้านมูลค่า (Valuation) มากกว่า ขณะเดียวกัน เอเชียไม่มีปัจจัยเสี่ยงด้านเงินเฟ้อจากการใช้นโยบายภาษีเหมือนสหรัฐฯ จึงมีโอกาสที่ธนาคารกลางในหลายประเทศจะเริ่มลดดอกเบี้ย และสามารถใช้นโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากขึ้น

ในระยะถัดไป หากตลาดเริ่มเห็นสัญญาณชัดเจนว่าอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่แนวโน้มขาลง และเศรษฐกิจฟื้นตัวในระดับที่ชัดเจนพอ นักลงทุนจะเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มที่มีคุณค่า (Value Play) และมีความสามารถในการเติบโตในระยะกลางถึงยาวได้ดี

ดังนั้น หุ้นเด่นที่ถูกมองว่าได้ประโยชน์จากธีม Yield ลงในรอบนี้ ได้แก่ ADVANC, บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC

โดย ADVANC เป็นผู้นำโครงสร้างใหม่ของดัชนี ขณะที่ TRUE ได้ประโยชน์จากโครงสร้างโทรคมนาคมใหม่ และ MTC โดดเด่นด้านคุณภาพสินทรัพย์และการบริหารความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ

ขณะที่ SAWAD แม้ธุรกิจใกล้เคียงกัน แต่ยังมีความผันผวนในด้านข่าวสารและการฟื้นตัวของราคาหุ้น อย่างไรก็ตาม หากเศรษฐกิจไม่ชะลอมากเกินไป SAWAD ก็มีโอกาสฟื้นตัวแรงในเชิงราคามากกว่า MTC แต่หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน นักลงทุนจะเลือกหุ้นที่มีคุณภาพสินทรัพย์แข็งแรงกว่าอย่าง MTC ก่อน

โดยรวมแล้ว ตลาดหุ้นไทยในระยะกลางถึงยาว มีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากการปรับโครงสร้างดัชนีและกระแสเงินทุนโลกที่เปลี่ยนทิศ นักลงทุนที่สามารถอดทนรอจังหวะ และปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับโครงสร้างใหม่ของตลาด มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 2568

Back to top button