
CGSI แนะ “ถือ” กลุ่มธนาคาร ยก “SCB-KTB” ท็อปพิก ชูปันผลสูง-กำไรมั่นคง
CGSI ประเมินตลาดสินเชื่อบ้านยังเปราะบางจากปัญหาหนี้ครัวเรือน–กำลังซื้อหด แนะ “ถือ” หุ้นแบงก์ใหญ่ เลือก SCB-KTB เป็นท็อปพิกกลุ่ม ด้วยปันผลเด่น-งบดุลแข็งแกร่ง
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของไทย โดยระบุว่า ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ 5 แห่งของไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB มีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อบ้านมากที่สุดที่ระดับ 23.2% ณ สิ้นไตรมาส 1/2568 ตามข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รองลงมาคือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ที่ 19% และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ที่ 13.8% โดยภาพรวมตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยในไทยยังครอบครองโดยธนาคารที่มีฐานลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก ซึ่งเน้นปล่อยสินเชื่อให้กับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป
ทั้งนี้ CGSI ระบุว่า แม้คุณภาพสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะดีขึ้นในช่วงหลังโควิด-19 จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ของรัฐบาลและ ธปท. แต่สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อมาตรการสิ้นสุดลง โดยพบว่าสัดส่วนสินเชื่อที่จัดอยู่ใน Stage 2 และ Stage 3 (NPL) เริ่มเร่งตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 และยังคงเพิ่มต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4/2567 ส่งผลให้ความเสี่ยงของระบบสถาบันการเงินยังคงต้องติดตามใกล้ชิด
โดยยังประเมินว่า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง การบริโภคภายในประเทศที่ชะลอตัว รวมถึงนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดของ ธปท. และปัจจัยภายนอก เช่น มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในปี 2568 ซบเซาต่อเนื่อง
ในด้านกลยุทธ์ของแต่ละธนาคาร พบว่า ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ขยายพอร์ตสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องจากปี 2564–2566 โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 21% ของยอดสินเชื่อรวมในไตรมาส 4/2563 เป็น 27% ในไตรมาส 1/2568 ขณะที่ KTB มีการเติบโตอย่างมั่นคงจาก 16.8% เป็น 19.1% ในช่วงเดียวกัน ส่วน SCB ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุด เพิ่มสัดส่วนจาก 24.7% เป็น 25.7% ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วของพอร์ตสินเชื่อบ้านในธนาคารทั้ง 3 แห่ง อาจเป็นความเสี่ยงในปี 2568–2569 หากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัวตามคาด
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI แนะนำ “คงน้ำหนักการลงทุน (Neutral)” ในกลุ่มธนาคาร โดยคาดการณ์ว่ากำไรก่อนสำรอง (PPOP) จะเติบโตเพียง -6.0% / +3.3% / +4.3% ในปี 2568–2570 และแนะนำ SCB และ KTB เป็นหุ้น Top Pick เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่น่าสนใจที่ระดับ 5.7–8.4% ต่อปี พร้อมด้วยงบดุลแข็งแกร่งและคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี
อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารยังเผชิญความเสี่ยงด้านลบ (Downside Risk) จากการเพิ่มขึ้นของ NPL และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ขณะเดียวกัน ความเสี่ยงด้านบวก (Upside Risk) อาจเกิดขึ้นหากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาในไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ รวมถึงหากสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ผ่อนคลายและการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลมีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ