จับตา AOT ถกบอร์ดพรุ่งนี้! ปม “คิงเพาเวอร์” ขอปรับสัญญาดิวตี้ฟรี 3 สนามบินภูมิภาค

AOT ประชุมบอร์ดพรุ่งนี้(16 มิ.ย.68) หลัง “คิงเพาเวอร์” ยื่นหนังสือขอปรับสัญญาดิวตี้ฟรี 3 สนามบิน “ภูเก็ต–เชียงใหม่–หาดใหญ่ ” อ้างผลกระทบโควิด–เศรษฐกิจทรุด ฟาก AOT เร่งตั้งคณะทำงานพิจารณาเงื่อนไขสัญญาและหาทางออกใน 60 วัน  ด้านบล.กสิกรไทย ประเมินรายได้จากสนามบินภูมิภาคอาจสูญเสียราว 3,000–5,000 ล้านบาท หากไม่มีผู้ประกอบการใหม่เข้ามาแทนทันที


สถานการณ์ล่าสุดระหว่าง บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กับ บริษัท คิงเพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญ หลังคิงเพาเวอร์ยื่นหนังสือขอเจรจาปรับเงื่อนไขในสัญญาเช่าพื้นที่ร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) 3 ท่าอากาศยานในภูมิภาค ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ ได้รับสัญญาประกอบกิจการตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.63 ถึงวันที่ 31 มี.ค.76

โดย AOT ได้ออกมาระบุว่า ทาง “คิงเพาเวอร์” ได้มีการยื่นหนังสือขอเจรจาปรับเงื่อนไขดิวตี้ฟรี 3 ท่าอากาศยานในภูมิภาคดังกล่าว และขณะนี้บริษัทเตรียมจัดเร่งประชุมบอร์ดนัดพิเศษ ซึ่งจะจัดในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ เพื่อพิจารณาแนวทางการตอบสนองต่อข้อเสนอของคิงเพาเวอร์

เบื้องต้นฝ่ายบริหารฯจะตั้งคณะกรรมการวิเคราะห์แนวทางเพื่อเจรจา และจ้างที่ปรึกษาที่เป็นสถาบันอุดมศึกษาของรัฐเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT ให้มีความเหมาะสมกับการดำเนินการและบริบททางเศรษฐกิจในปัจจุบัน และเพื่อความเป็นกลางในการวิเคราะห์สัญญา โดยคาดว่าจะได้ผลการศึกษาภายในระยะเวลา 60 วัน และเสนอคณะกรรมการ AOT พิจารณาให้ข้อคิดเห็นและปรับปรุงแนวทางให้ดีขึ้นและเป็นประโยชน์กับ AOT

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2562 AOT ได้เปิดประมูลสิทธิสัมปทานการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรสำคัญ 3 สัญญา ซึ่งได้รับความสนใจอย่างมากจากทั้งผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ แม้จะมีการแข่งขันสูง แต่คิงเพาเวอร์ก็เป็นผู้ชนะการประมูลทั้งหมด 17 เกณฑ์การประเมินการประมูลเน้นที่ข้อเสนอทางเทคนิค 80% และข้อเสนอทางการเงิน 20% ซึ่งบ่งชี้ว่า AOT ให้ความสำคัญกับคุณภาพการดำเนินงานและประสบการณ์นอกเหนือจากการสร้างรายได้

การที่คิงเพาเวอร์กวาดสิทธิสัมปทานหลักทั้งสามสัญญาไปได้ทั้งหมด แม้จะมีผู้เสนอราคาที่โดดเด่นรายอื่น ๆ เข้าร่วมประมูล บ่งชี้ถึงความสามารถเชิงกลยุทธ์และจุดยืนทางการเงินที่แข็งแกร่งในช่วงการประมูล ท่าทีที่ aggressive นี้ แม้จะทำให้คิงเพาเวอร์ได้สัญญาไป แต่ก็อาจนำไปสู่ภาระผูกพันค่าตอบแทนขั้นต่ำ (MAG) ที่สูง

สำหรับสัญญาสัมปทานที่ AOT ลงนามกับ “คิงเพาเวอร์” มีด้วยกันหลายสัญญาประกอบด้วย

การประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK)

ผู้รับสัมปทาน: บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด

ระยะเวลาสัญญาเดิม: 10 ปี 6 เดือน

ระยะเวลาเดิม: 28 กันยายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2574

ค่าตอบแทนขั้นต่ำปีแรก (MAG): 15,419 ล้านบาท

การประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูเก็ต (HKT), เชียงใหม่ (CNX) และหาดใหญ่ (HDY)

ผู้รับสัมปทาน: บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด

ระยะเวลาสัญญาเดิม: 10 ปี 6 เดือน

ระยะเวลาเดิม: 28 กันยายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2574

ค่าตอบแทนขั้นต่ำปีแรก (MAG): 2,330 ล้านบาท

การประกอบกิจการบริหารจัดการกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ผู้รับสัมปทาน: บริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด

ระยะเวลาสัญญาเดิม: 10 ปี 6 เดือน

ระยะเวลาเดิม: 28 กันยายน 2563 ถึง 31 มีนาคม 2574

ค่าตอบแทนขั้นต่ำปีแรก (MAG): 5,790 ล้านบาท

สัมปทานร้านค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง (DMK)

ผู้รับสัมปทาน: บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด

ระยะเวลาสัญญา: 10 ปี 6 เดือน

ระยะเวลา: 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 มีนาคม 2576

ค่าตอบแทนขั้นต่ำปีแรก (MAG): รับประกันรายได้ 1,500 ล้านบาท

แต่จากสถานการณ์หลังโควิด-19 ที่ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจากจีน ลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงมาตรการภาครัฐที่ยกเลิกดิวตี้ฟรีขาเข้าและลดภาษีไวน์ ทำให้คิงเพาเวอร์อ้างว่ารายได้ลดลงมาก จึงขอปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน

อนึ่งเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา คิงเพาเวอร์ได้ส่งหนังสืออย่างเป็นทางการถึงกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ เพื่อขอหารือแนวทางการยกเลิกสัญญาร้านสินค้าปลอดอากร ณ 3 ท่าอากาศยานในภูมิภาค โดยให้เหตุผลว่า หลังโควิด ทอท. ได้เปลี่ยนวิธีคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำมาเป็นแบบต่อหัวผู้โดยสาร (Sharing Per Head) ที่ 127.30 บาท โดยเรียกเก็บจากผู้โดยสารทุกประเภท ในขณะที่เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญผลกระทบจากสงคราม สงครามการค้า การกีดกันทางการค้า และกำแพงภาษี

นอกจากนี้ คิงเพาเวอร์ยังอ้างว่า ยอดขายได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลง ซึ่งเป็นกลุ่มกำลังซื้อหลัก และทำให้บริษัทประสบภาวะขาดทุนจากการแบกรับอัตราค่าตอบแทนที่สูงผิดปกติ ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางเศรษฐกิจ โดยบริษัทฯระบุเหตุสุดวิสัยที่ส่งผลให้ค่าตอบแทนสูงเกินความเหมาะสม พร้อมระบุว่าทาง AOT ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียวโดยไม่หารือร่วมกับบริษัทเพื่อแก้ปัญหาอย่างเหมาะสม

บริษัทจึงร้องขอให้มีการหารือเพื่อหาข้อยุติใหม่ รวมถึงแนวทางในการพิจารณายกเลิกสัญญา โดยตั้งกรอบเวลา 45 วัน พร้อมเสนอแนวทางชำระค่าตอบแทนแบบ 20% ของยอดขายรายเดือนเริ่มเดือน ก.ค. 68 เป็นต้นไป และขอให้ AOT ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระจนกว่าจะได้ข้อสรุปจากการเจรจา

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TNS ระบุในบทวิเคราะห์ว่า จากกรณี ที่คิง เพาเวอร์ ยื่นหนังสือต่อ AOT ขอยกเลิกสัญญา Duty Free สนามบินดอนเมือง-ภูเก็ต-เชียงใหม่-หาดใหญ่ โดยอ้างผลกระทบจากโควิด เศรษฐกิจตกต่ำ สงคราม กำแพงภาษี นักท่องเที่ยวจีนหายกดดันยอดขายลดลง รวมถึงการขอคืนพื้นที่ก่อนหน้านี้ทำให้ขาดทุนหนัก จึงขอเจรจายุติภายใน 45 วัน โดยรายได้ Duty Free ของ 4 สนามบินนี้คิดเป็น 2,300-2,500 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ บล.ธนชาต ประเมินจากข่าวดังกล่าวเป็น “ลบ” ต่อ AOT โดยกระทบกำไร AOT ปี 2569 ประมาณ 10% และคาดว่าอาจมีการเจรจาเพิ่มเติมในส่วนของสนามบินสุวรรณภูมิในอนาคตซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อกำไร และเป้าหมายพื้นฐาน ด้วยเช่นกัน โดยรายได้ duty free ของสุวรรณภูมิคิดเป็นประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาทต่อปี จึงคงคำแนะนำ “ขาย” AOT พื้นฐาน 30 บาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS เปิดเผยในบทวิเคราะห์ว่า กลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ได้ยื่นเรื่องต่อ AOT เพื่อขอยุติสัญญาการให้บริการร้านค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ที่สนามบินดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่ อันเป็นผลจากยอดขายที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องและผลขาดทุนที่เกิดขึ้น

โดยประเมินว่า สำหรับสัญญาที่ดอนเมืองในปี 2567 มีรายได้ราว 2,000 ล้านบาท จากการแบ่งรายได้ตามสัดส่วน 20% ส่วนสัญญาสนามบินเชียงใหม่ ภูเก็ต และหาดใหญ่ ในปี 2567 มีรายได้รวมราว 3,000 ล้านบาท อิงจากประมาณการรายได้ต่อหัวผู้โดยสารที่ 92 บาท

ทั้งนี้ KS ประเมินว่า หากมีการยกเลิกสัญญาและ AOT ยังไม่สามารถหาผู้ประกอบการรายใหม่มาทดแทนได้ทัน อาจส่งผลกระทบต่อรายได้รวมของบริษัทไม่เกิน 5,000 ล้านบาทตามประมาณการของฝ่ายวิเคราะห์

ทำให้ในวันพรุ่งนี้ (16 มิ.ย. 68) ต้องจับตาการประชุมบอร์ดนัดพิเศษ AOT ว่า จะออกมาอย่างไร โดยเฉพาะ“คิงเพาเวอร์” ขอปรับ เงื่อนไข เพื่อขอเจรจาปรับเงื่อนไข 3 ข้อในสัญญาจะออกมาในทิศทางใด ได้แก่

ข้อ 7.9 ระบุว่า ในกรณีที่เกิดเหตุขัดข้องหรือมีเหตุจำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เป็นเหตุให้คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถดำเนินการตามสัญญาได้โดยไม่ได้มีสาเหตุมาจากความผิดของคู่สัญญาฝ่ายใด คู่สัญญาจะเจรจาเพื่อหาทางแก้ไข

ข้อ 7.7 ในกรณีที่ข้อกำหนดของสัญญาข้อใดข้อหนึ่งตกเป็นโมฆะไม่สมบูรณ์ หรือใช้บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงในข้อกำหนดอื่นยังมีผลบังคับกันได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะต้องดำเนินการเจรจาเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อสัญญาที่มีผลในทางพาณิชย์

ข้อ 7.5 ภายใต้บังคับของกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับทอท. การแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญานี้ไม่อาจทำได้ เว้นแต่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายจะได้ทำความตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา

การขอเจรจาเพื่อยกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรีในท่าอากาศยานภูมิภาคของคิงเพาเวอร์ ถือเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับ AOT ที่ต้องบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินและรักษาผลประโยชน์ของบริษัทในระยะยาว แม้ว่า AOT จะพยายามบรรเทาผลกระทบด้วยการปรับโครงสร้างการชำระหนี้และคิดดอกเบี้ยจากยอดค้างชำระ แต่การที่คิงเพาเวอร์ยังคงยืนยันว่าเงื่อนไขปัจจุบันไม่ยั่งยืน สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นที่ AOT จะต้องพิจารณาแนวทางแก้ไขที่ครอบคลุมและยืดหยุ่นมากขึ้นในอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่ารูปแบบสัมปทานจะสามารถปรับตัวเข้ากับความผันผวนของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาบทบาทของประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการบินและการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคต่อไป

Back to top button