KTC โผล่บัญชีมาร์จิ้นคงค้าง 420 ล้านหุ้น รูดติดฟลอร์วันแรก แค่จุดเริ่มต้นหรือไม่?

KTC รูดติดฟลอร์ 14.39% นักลงทุนจับตาความเสี่ยงฟอร์ซเซล หลังพบหุ้นกว่า 420 ล้านหุ้น หรือ 16.30% ถูกวางเป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้น ท่ามกลางภาวะตลาดผันผวนและยังไร้ปัจจัยพื้นฐานรองรับการร่วงแรง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 มิ.ย. 68) ราคาหุ้น บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ร่วงหนักจนราคาหุ้นลงมาปิดติดฟลอร์ที่ระดับ 29.50 บาท ลบไป 5.25 บาท หรือ 15.11% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 548.83 ล้านบาท

การปรับตัวลงของราคาหุ้นในลักษณะนี้ ส่งผลให้ตลาดจับตาความเสี่ยงต่อแรงขายจากบัญชีมาร์จิ้นอย่างใกล้ชิด เนื่องจากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ณ สิ้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พบว่าหุ้น KTC จำนวน 420,204,381 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วน 16.30% ของหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกันในบัญชีมาร์จิ้น ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด

ท่ามกลางราคาหุ้นที่ปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญในวันนี้ ประเด็นสำคัญที่เกิดขึ้นคือ หากเกิดการบังคับขาย (Forced Sale) จากบัญชีมาร์จิ้นที่มีจำนวนหุ้นมากถึง 420.20 ล้านหุ้น จะต้องใช้ระยะเวลาอีกกี่วันภายใต้กรอบราคาจำกัด (Ceiling & Floor) ±15% ในการเทขายหุ้นออกมา? หลังปิดตลาดวันที่ 23 มิ.ย. หลังออร์เดอร์รอขายฝั่ง (Offer) ยังคงค้างจำนวน 98 ล้านหุ้น ซึ่งถือเป็นคำถามเชิงโครงสร้างที่สะท้อนถึงสภาพคล่องและความเปราะบางของตลาดในช่วงเวลานี้

ทั้งนี้ ตลท. ได้ออกประกาศใช้มาตรการชั่วคราวระหว่างวันที่ 23–27 มิถุนายน 2568 เพื่อลดความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์ความตึงเครียดในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยปรับลดกรอบการเคลื่อนไหวของราคาหลักทรัพย์ (Ceiling & Floor) สำหรับหุ้นสามัญและหน่วยทรัสต์ในตลาด SET และ mai จากเดิม ±30% เหลือ ±15% และหุ้นต่างประเทศจาก ±60% เหลือ ±30% เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาด

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่าราคาหุ้น KTC ที่ร่วงลงแตะระดับฟลอร์ในช่วงเช้าวันนี้ไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานใดเปลี่ยนแปลง โดยฝ่ายวิเคราะห์ได้ตรวจสอบกับทางบริษัทฯ และได้รับการยืนยันว่าไม่มีข่าวสารหรือเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อกิจการโดยตรง ขณะที่ KTC เองก็ระบุว่าไม่ทราบสาเหตุของการปรับตัวลงในครั้งนี้

สำหรับการซื้อขายแบบ Big Lot หุ้น KTC ในช่วงเช้าวันเดียวกัน จำนวน 1 ล้านหุ้น ที่ราคา 34.75 บาท ต่ำกว่าราคาปิดวันก่อนหน้าเล็กน้อย มูลค่ารวม 34.75 ล้านบาทนั้น ทาง UOBKH ประเมินว่าไม่น่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ

กรณีที่ KTC ถูกถอดออกจากดัชนี MSCI Global Standard Index ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 นั้น แม้อาจส่งผลต่อการไหลออกของเงินลงทุนจากกองทุนประเภท Passive Fund ในระยะกลาง แต่ตลาดได้รับรู้และตอบสนองต่อปัจจัยดังกล่าวไปล่วงหน้าแล้ว จึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุหลักของการปรับตัวลงในวันนี้

ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ของ UOBKH ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น KTC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 58 บาท พร้อมระบุว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่สะท้อนศักยภาพเชิงพื้นฐานของบริษัท และจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม

Back to top button