
CGSI ชี้ข้อพิพาท “ไทย-กัมพูชา” กระทบส่งออก แนะลงทุน 6 หุ้นปลอดภัย
CGSI ชี้ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาอาจกระทบส่งออกและกลุ่มแรงงานกัมพูชาในไทย เตือน CBG กระทบมากสุดจากรายได้ในกัมพูชาสูง พร้อมแนะลงทุนหุ้น Defensive และ High-yield
ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ออกรายงานเตือนถึงผลกระทบจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างไทยและกัมพูชา โดยระบุว่า หากข้อพิพาทบริเวณชายแดนระหว่างทั้งสองประเทศทวีความรุนแรงขึ้น อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทที่มีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาสูง รวมถึงแรงงานข้ามชาติและกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานจำนวนมาก
ทั้งนี้ กัมพูชาถือเป็นตลาดส่งออกอันดับที่ 11 ของไทยในปี 2567 โดยมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 324,000 ล้านบาท หรือประมาณ 3% ของยอดส่งออกทั้งหมดของไทย ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า สินค้าหลักที่ไทยส่งออกไปกัมพูชา ได้แก่ เครื่องดื่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็นสัดส่วนกว่า 30% ของมูลค่าส่งออกรวม ขณะที่ไทยยังเกินดุลการค้ากับกัมพูชาถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ รองจากสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ไทยยังมีแรงงานชาวกัมพูชาทั้งถูกกฎหมายและผิดกฎหมายรวมกว่า 1 ล้านคน หากมีการเดินทางกลับประเทศตามคำเรียกร้องของอดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ก็อาจกระทบต่อกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานจำนวนมาก เช่น ก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ และประมง อย่างไรก็ตาม ในด้านการท่องเที่ยว CGSI ประเมินว่าผลกระทบน่าจะน้อย เนื่องจากนักท่องเที่ยวกัมพูชามีเพียง 553,000 คนในปี 2567 หรือคิดเป็น 1.6% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด
CGSI ประเมินว่า หากสถานการณ์เลวร้ายต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปิดด่านอรัญประเทศ ซึ่งเป็นด่านการค้าสำคัญ อาจส่งผลกระทบชัดเจนต่อบริษัทจดทะเบียน โดย CBG ซึ่งมีสัดส่วนรายได้ในกัมพูชาราว 28% อาจได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด รองลงมาคือ BH และ MEGA ซึ่งมีสัดส่วนรายได้จากกัมพูชาประมาณ 6%
ต้นเหตุของความขัดแย้งรอบล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2568 จากการปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในพื้นที่ทับซ้อน จนมีทหารกัมพูชาเสียชีวิต ก่อนนำไปสู่การปิดด่านชายแดนหลายแห่ง และสถานการณ์ร้อนแรงขึ้นจากคลิปเสียงหลุดของนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งถูกมองว่าเป็นปัจจัยกระตุ้นความตึงเครียดระหว่างประเทศ
ด้านมุมมองตลาดทุน CGSI ชี้ว่า ดัชนี SET ปรับตัวลงแล้ว 25% ตั้งแต่ต้นปี 2568 ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดในปีนี้ โดยปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ P/E ราว 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะ 10 ปี จึงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic Defensive และ High-yield play ได้แก่ BDMS, CPN, ERW, GULF, MTC และ PR9
ทั้งนี้ คาดว่า EPS ของตลาดจะเติบโต 5% ในปี 2568 และ 8% ในปี 2569 แต่ยังมีความเสี่ยงหากมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ สร้างแรงกดดันต่อการส่งออกของไทยมากกว่าคาด รวมถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศยังมีความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม CGSI มองว่าการลดดอกเบี้ยนโยบายโดย ธปท. และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาจเป็นปัจจัยหนุนตลาดในระยะถัดไป