“ชัยยศ” มอง SET ผ่านจุดต่ำสุด รับแรงหนุนต่างชาติซื้อกลับ–เก็งดอกเบี้ยขาลง

“ชัยยศ จิวางกูร” ประเมินตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด รับแรงหนุนต่างชาติกลับมาซื้อ-เก็งกำไรดอกเบี้ยขาลง พร้อมจับตาไทยเจรจาการค้าสหรัฐ หลังอินโดนีเซียบรรลุข้อตกลง 19% แนะสะสม CPALL–BDMS ลุ้นกำไรไตรมาส 2/68 โตเด่น พร้อมราคาลงลึกแล้ว


นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (16 ก.ค.68) ว่า กรณีประเด็นที่อินโดนีเซียบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ ด้วยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐที่ 0% และให้อัตราภาษีสหรัฐฯอยู่ที่ 19% ต่อสินค้านำเข้าจากอินโดนีเซียถือเป็นแนวโน้มสำคัญที่อาจเป็นตัวกำหนดกรอบการเจรจาของไทยในลำดับถัดไป

โดยฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าไทยอาจต้องเผชิญอัตราภาษีใกล้เคียงกับเวียดนามที่ระดับ 20% และอาจจำเป็นต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐลงเหลือ 0% เช่นกัน หากต้องการรักษาความได้เปรียบทางการค้า โดยอาจต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่มากกว่า เนื่องจากไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯสูงกว่าอินโดนีเซีย ดังนั้นไทยอาจต้องมีเงื่อนไขหรือข้อเสนอที่มากกว่า เพื่อให้อัตราภาษีใกล้เคียงกับอินโดนีเซียหรือเวียดนาม

อย่างไรก็ตามแม้ต้นทุนค่าขนส่งค่าผลิต และค่าแรงของสินค้าสหรัฐจะสูงกว่า ทำให้ความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าไทยเพื่อการบริโภคภายในประเทศอาจไม่มากนัก แต่สินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และเนื้อสุกร หากสหรัฐฯ ส่งเข้ามาขายในไทยเสรีจะมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยพอสมควร

โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น ผู้เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ อย่างไรก็ตามไทยมีการนำเข้าถั่วเหลืองอยู่แล้ว ส่วนผลกระทบต่อเนื้อหมูระดับพรีเมียมหรือทั่วไปยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจน

ตรงนี้มองว่าควรเปรียบเทียบกับเวียดนามมากกว่าอินโดนีเซีย เนื่องจากมีกระแสทุนจีนเข้ามาคล้ายกันและลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายคลึงกัน หากไทยต้องเผชิญอัตราภาษีที่ประมาณ 20% ใกล้เคียงเวียดนาม ถือว่าค่อนข้างเสียเปรียบ แต่หากลดลงมาได้ก็น่าจะเป็นบวกกับไทย

ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ประเมินยังไม่ถือว่าเป็นขาขึ้น แต่ฝ่ายวิเคราะห์มองว่า SET มีโอกาสเป็นจุดต่ำสุดแล้ว จากสัญญาณเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลเข้าสะสมประมาณ 4,000 ล้านบาทในช่วง 4 วันที่ผ่านมา บวกกับเม็ดเงินจาก กองทุน Thai ESG มูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท โดยเม็ดเงินเหล่านี้เลือกเข้าลงทุนในกลุ่มไฟแนนซ์ ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเคย underperform มานาน

โดยปัจจัยหนุนหลักที่นักลงทุนต่างชาติจับตามากที่สุด คือความคาดหวังว่าผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ ซึ่งสื่อรายงานว่าอาจเป็นผู้บริหารจากภาคธนาคาร จะมีแนวทางผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศที่คิดเป็นกว่า 60% ของ GDP ไทย หากลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง เหลือระดับ 1.25% ตามที่คาดการณ์อาจช่วยผลักดันเศรษฐกิจและ SET Index ให้ปรับขึ้นต่อเนื่องได้

อย่างไรก็ตามนักลงทุนรอความชัดเจนประกาศผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ทิศทางการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายก็เป็นแนวทางที่ชัดเจนแล้วว่าต้องทำ เพราะหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง หากผู้ว่าฯคนใหม่มาจากภาคธนาคาร (ตามโพลข่าว) ก็จะมีความเข้าใจในระบบสินเชื่อและการป้องกัน NPLs ได้ดี ทำให้มีมุมมองที่ดีต่อการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและลดดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่ทำให้เงินทุนไหลเข้ามา

สำหรับหุ้นแนะนำ นายชายยศมองว่าในระยะนี้ควรเน้นกลุ่มที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาลงลึกจนมีความน่าสนใจในการสะสม ได้แก่

CPALL คาดงบไตรมาส 2/68 กำไรสุทธิราว 6,700 ล้านบาท เติบโตเทียช่วงเดียวกันของปีก่อน และได้อานิสงส์หากดอกเบี้ยลดลง เพราะเป็นกลุ่มค้าปลีกอุปโภคบริโภคซึ่งฟื้นตัวตามกำลังซื้อ โดยมองเป็นหุ้นที่ Underperform มานานมากแนะนำราคาพื้นฐาน 80 บาท

BDMS ราคาหุ้นปรับฐานแรงแม้คาดงบไตรมาส 2/68 มีกำไรสุทธิราว 3,500 ล้านบาท โตเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้ต่อเนื่อง มองป็นกลุ่มที่ Underperform มาก่อนและน่าจะกลับมาเล่นได้มองเป็นจังหวะสะสมในหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งราคาพื้นฐาน 33 บาท

Back to top button