
“ดาวโจนส์” ปิดลบ สวน S&P500-Nasdaq พุ่งนิวไฮ รับเก็งกำไรหุ้นเทคหนุน
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบ 19 จุด สวนทาง ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอัลฟาเบท และหุ้นเทครายอื่นๆ ก่อนประกาศงบสัปดาห์นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดลบเล็กน้อยในวันจันทร์ (21 ก.ค.) ส่วนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของหุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) และหุ้นบริษัทเทคโนโลยีรายอื่น ๆ ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,323.07 จุด ลดลง 19.12 จุด หรือ -0.04%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,305.60 จุด เพิ่มขึ้น 8.81 จุด หรือ +0.14% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,974.17 จุด เพิ่มขึ้น 78.52 จุด หรือ +0.38%
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยหุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารพุ่งขึ้น 1.9% ตามมาด้วยหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับตัวขึ้น 0.6% ส่วนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง 0.96%
หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 2.7% ก่อนที่บริษัทจะเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธเช่นเดียวกับเทสลา (Tesla) โดยผลประกอบการของอัลฟาเบทและเทสลาอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางผลการดำเนินงานของบริษัทเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูงรายอื่น ๆ ในกลุ่ม Magnificent Seven ที่จะรายงานผลประกอบการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) ดีดตัวขึ้น 0.62% และหุ้นอะเมซอน (Amazon) พุ่งขึ้น 1.43% ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนี S&P500 และ Nasdaq แต่หุ้นเทสลาปรับตัวลง 0.35%
หุ้นเวอไรซอน (Verizon) พุ่งขึ้นกว่า 4% หลังจากบริษัทโทรคมนาคมรายนี้เปิดเผยกำไรและรายได้ที่สูงกว่าคาดในไตรมาส 2/2568 และยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรในปีงบการเงิน 2568
ข้อมูลจาก LSEG I/B/E/S บ่งชี้ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าบริษัทในดัชนี S&P500 จะรายงานผลกำไรเพิ่มขึ้น 6.7% ในไตรมาส 2/2568 โดยส่วนใหญ่มาจากกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
นักลงทุนติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และบรรดาประเทศคู่ค้า ก่อนที่จะถึงกำหนดเส้นตายในวันที่ 1 ส.ค. ขณะที่โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า สหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) ได้ทันก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ภาษีนำเข้าชุดใหม่จะมีผลบังคับใช้
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจาก EU และเม็กซิโก ในอัตรา 30% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ได้ภายในเวลากำหนด นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้ส่งจดหมายไปยังประเทศคู่ค้าอื่น ๆ รวมถึงแคนาดา ญี่ปุ่น และบราซิล โดยกำหนดอัตราภาษีตั้งแต่ 20%-50%
นักลงทุนจับตาเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมทบทวนแบบบูรณาการเกี่ยวกับกรอบเงินกองทุนสำหรับธนาคารขนาดใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันนี้ (22 ก.ค.) เวลา 08.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 19.30 น.ตามเวลาไทย เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25%-4.50% ในการประชุมวันที่ 29-30 ก.ค.นี้ และให้น้ำหนักกว่า 50% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนก.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของรัฐบาลทรัมป์ โดยข้อมูลดังกล่าวรวมถึงยอดขายบ้านมือสอง, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการ, ยอดขายบ้านใหม่ และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน