THAI รีซูมเทรด 4 ส.ค.นี้! ลุยขยายเที่ยวบิน-เส้นทางใหม่ ดันกำไรโตมั่นคง

“การบินไทย” พร้อมรีซูมเทรดตลาดหุ้น 4 ส.ค.นี้! หลังโชว์กำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 1/68 กว่า 4.1 หมื่นล้านบาท คืนความเชื่อมั่นนักลงทุน และบริษัทฟื้นฟูทางการเงิน-ลดหนี้เหลือ 95,000 ล้านบาท ลดพนักงานเหลือ 22,800 คน พร้อมปรับฝูงบินและขยายเส้นทางบินใหม่ ตั้งเป้าฟื้นส่วนแบ่งตลาดสุวรรณภูมิเป็น 35% ภายในปี 2572


นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (30 ก.ค.68) ว่าบริษัทประสบปัญหาด้านผลประกอบการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในขณะนั้นส่วนของทุนติดลบ และสถานการณ์โควิดเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้การบินไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างและกระบวนการบริหารจัดการทั้งองค์กรอย่างจริงจัง นับจากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการในปี 2563 บริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงมาอย่างต่อเนื่องกว่า 4 ปี หากรวมช่วงเวลาในการจัดทำแผนฟื้นฟูด้วยจะมีระยะเวลารวมกว่า 5 ปีเต็ม ซึ่งในปัจจุบันการบินไทยได้ปรับโครงสร้างทางการเงินให้แข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงการปรับโครงสร้างหนี้และทุน แต่ยังครอบคลุมไปถึงการปรับระบบภายในทั้งด้านบุคลากร ฝูงบิน กระบวนการทำงาน และกลยุทธ์ทางธุรกิจอย่างเกือบทั้งหมด

ด้านบุคลากรและโครงสร้างต้นทุน มีการปรับลดจำนวนพนักงานจากประมาณ 35,000 คนในปี 2562 เหลือ 22,800 คนในไตรมาส 1/2568 ช่วยให้ผลิตภาพ (Productivity) ต่อพนักงานเพิ่มขึ้นกว่า 18% ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายพนักงานต่อรายได้ลดจาก 23% เหลือ 10.7% และมีเป้าหมายในระยะยาวไม่เกิน 13% ของรายได้รวม ทั้งนี้บริษัทได้ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนใหม่ตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เพื่อดึงดูดบุคลากรที่มีศักยภาพและรักษาพนักงานเดิม ขณะเดียวกันสวัสดิการต่างๆ เช่น การชำระภาษีเงินได้แทนพนักงานและสิทธิ์ตั๋วโดยสารได้ถูกปรับให้สอดคล้องกับมาตรฐานสายการบินสากล โดยการปรับลดบุคลากรเน้นไปที่ตำแหน่ง back office และสนับสนุนงานมากกว่าส่วน frontline ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพและความปลอดภัยโดยตรง เช่น นักบิน ลูกเรือ และช่างอากาศยาน

ด้านฐานะทางการเงินและผลประกอบการ สิ้นไตรมาส 1/2568 บริษัทมียอด EBITDA 12 เดือนย้อนหลังสูงกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าเงื่อนไขขั้นต่ำ 20,000 ล้านบาทที่ต้องทำได้เพื่อออกจากแผนฟื้นฟู ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับมาเป็นบวกที่ 55,000 ล้านบาท มีเงินสดคงเหลือกว่า 120,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ยราว 120,000 ล้านบาท และหนี้ตามแผนฟื้นฟูลดลงเหลือ 95,000 ล้านบาท จากยอดเจ้าหนี้ยื่นคำขอชำระหนี้เดิม 400,000 ล้านบาท และที่ศาลพิทักษ์ทรัพย์รับรอง 189,000 ล้านบาท บริษัทสามารถปรับลดภาระหนี้ได้จากการชำระหนี้ การแปลงหนี้เป็นทุน และผลการดำเนินงานที่เป็นบวกต่อเนื่อง

ส่วนกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 41,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (Operating Margin) 22% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมการบินในเอเชียแปซิฟิก (11%) และยุโรป (8%) ขณะที่ปัจจัยบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) อยู่เฉลี่ยที่ 83% ซึ่งสูงกว่าจุดคุ้มทุนที่ 75% สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรจากการดำเนินงานจริง ไม่ได้เกิดจากการขายสินทรัพย์หรือการลดต้นทุนชั่วคราวเพียงอย่างเดียว

ด้านฝูงบินและแผนเพิ่มกำลังการผลิต ปัจจุบันการบินไทยมีฝูงบิน 78 ลำ จากเดิม 103 ลำในปี 2562 ทำให้กำลังการผลิตลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับก่อนโควิด บริษัทจึงวางแผนจัดหาเครื่องบินใหม่เพื่อเพิ่มความถี่และเส้นทางบิน โดยตั้งแต่ปลายปี 2568 ถึงสิ้นปี 2569 จะรับมอบเครื่องบินลำตัวแคบรุ่นใหม่ Airbus A321 จำนวน 17 ลำ เพื่อรองรับเที่ยวบินระยะสั้นและกลาง (ไม่เกิน 6 ชั่วโมง) และคาดว่าฝูงบินลำตัวกว้างรุ่นใหม่จะเริ่มเข้ามาต้นปี 2571 ซึ่งจะช่วยรองรับการขยายเครือข่ายเส้นทางบินระยะไกลและเพิ่มจำนวนเที่ยวบินในเส้นทางยุโรปและเอเชียมากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนปรับโครงสร้างชั้นโดยสารโดยเพิ่ม Premium Economy และขยายสัดส่วน Business Class ให้มากขึ้นในฝูงบินใหม่และการปรับปรุงฝูงบินลำตัวกว้าง Boeing 777-300ER จำนวน 14 ลำ เพื่อตอบโจทย์ตลาดผู้โดยสารพรีเมียม โดยเฉพาะเส้นทางบินพิเศษ เช่น ยุโรปและสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ การบินไทยมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนตลาดที่สนามบินสุวรรณภูมิจาก 26% ในปัจจุบันเป็น 35% ภายในปี 2572

ด้านแผนธุรกิจในอนาคตและการสร้างรายได้ใหม่ รายได้หลักในปัจจุบันยังมาจากผู้โดยสารกว่า 85% ส่วนธุรกิจคาร์โก้และคลังสินค้าอยู่ที่ 7% และอีกส่วนหนึ่งมาจากธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) บริษัทมีแผนลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาทเพื่อสร้างศูนย์ซ่อมใหม่ที่อู่ตะเภาและอัปเกรดศูนย์ซ่อมดอนเมืองเพื่อรองรับการขยายฝูงบินซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเป็น 150 ลำภายในปี 2576 โดยศูนย์ซ่อมใหม่นี้จะรองรับงานซ่อมของบริษัทและให้บริการลูกค้าภายนอกเพื่อสร้างรายได้เสริม

ส่วนธุรกิจคาร์โก้ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ราว 10% บริษัทมีแผนเพิ่มประสิทธิภาพทั้งด้านการขนส่งใต้ท้องเครื่องและการบริหารคลังสินค้า โดยปัจจุบันอัตราบรรทุกคาร์โก้ (Cargo Load Factor) อยู่ที่กว่า 50% ซึ่งถือว่าดีในแง่น้ำหนักบรรทุก แต่บริษัทยังมีโอกาสเพิ่มรายได้ด้วยการบริหารสินค้าแบบ Volume-based และสินค้ามูลค่าสูงที่สร้างรายได้ต่อหน่วยสูงกว่า

ด้านเป้าหมายระยะยาว การบินไทยตั้งเป้าฟื้นส่วนแบ่งตลาดให้กลับสู่ระดับก่อนโควิด พร้อมรักษาความสามารถทำกำไรอย่างต่อเนื่อง บริษัทมองว่าการขยายเที่ยวบิน การเพิ่มจำนวนผู้โดยสาร และการขยายเส้นทางใหม่โดยเฉพาะในเอเชียแปซิฟิกจะเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างการเติบโต รวมถึงการต่อยอดรายได้จากธุรกิจคาร์โก้และศูนย์ซ่อม MRO เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

Back to top button