“เมย์แบงก์” แนะซื้อ SAWAD-TIDLOR-MTC เด่นกลุ่มไฟแนนซ์! ชี้กำไร Q2 โตแรง

“บล.เมย์แบงก์” ประเมินกลุ่มไฟแนนซ์ไตรมาส 2/68 กำไรโต 5% แตะ 4.3 พันล้านบาท จากต้นทุนเครดิตลด พร้อมแนะ “ซื้อ” TIDLOR-MTC รับแนวโน้มพอร์ตสินเชื่อขยายตัว-คุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่ง ส่วน SAWAD เด่นสุดจากอัพไซด์สูง-อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในกลุ่ม 6.5%


บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นกลุ่มไฟแนนซ์แต่ได้ปรับลดประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของหุ้น MTC (ลดเหลือ 45 บาท จากเดิม 60 บาท), TIDLOR (ลดเหลือ 20 บาท จากเดิม 22 บาท), SAK (ลดเหลือ 4.6 บาท จากเดิม 5.6 บาท) จากทิศทางการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ที่ชะลอตัว

อย่างไรก็ตามยังมองว่า TIDLOR มีปัจจัยสนับสนุนจากโครงสร้างรายได้ที่หลากหลายและคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวได้สะท้อนในราคาหุ้นปัจจุบันแล้ว โดย TIDLOR ให้ผลตอบแทนเหนือกว่า SET Index และกลุ่มการเงินถึง 12% และ 29% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ

โดยมองว่า SAWAD มีโอกาสฟื้นตัวสูงสุด หลังราคาหุ้นร่วงลงไป 51% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ และให้ผลตอบแทนต่ำกว่า SET Index ถึง 38% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนตามลำดับ เนื่องจากสินเชื่อ และกำไรครึ่งแรกปี 2568 อ่อนแอ อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิเคราะห์ยังมองเห็นปัจจัยบวกจากต้นทุนเครดิต และผลขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ที่ลดต่ำลงในครึ่งปีหลัง 2568 รวมถึงทิศทางสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่มีแนวโน้มกลับมาขยายตัวในปี 2569 โดย SAWAD ซื้อขายที่ PER ปี 2568 เพียง 7 เท่า, P/BV 0.8 เท่า, ROE 12% และมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลปี 2568 สูงที่สุดในกลุ่มที่ 6.5%

ขณะเดียวกันฝ่ายวิเคราะห์ได้ปรับลดประมาณการกำไรของกลุ่มผู้ประกอบการสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ปี 2568-70 จากแนวโน้มการขยายตัวของสินเชื่อที่ลดลง ตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า โดยมองว่าบริษัทฯ จะเร่งชะลอการปล่อยสินเชื่อใหม่ และลดสัดส่วนสินเชื่อต่อหลักประกันเพื่อรักษาคุณภาพสินทรัพย์ ส่งผลให้คาดว่าสินเชื่อรวมของกลุ่มจะขยายตัวเพียง 7-10% ต่อปี ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เทียบกับอดีตที่เติบโต 15-20% ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NII) คาดว่าเติบโตระดับ 8-9% และต้นทุนทางการเงินจะลดลงตั้งแต่ปลายปี 2568 เป็นต้นไป จากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบาย

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ากำไรรวมของกลุ่มสินเชื่อทะเบียนรถยนต์ไตรมาส 2/68 จะโต 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (ทรงตัวเทียบไตรมาสก่อนหน้า) แตะ 4.3 พันล้านบาท จากต้นทุนเครดิตที่ลดลง โดย SAK และ TIDLOR จะมีกำไรโตแข็งแกร่งที่สุดที่ 16% และ 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ (SAK มีการเติบโตของสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ดี ขณะที่ TIDLOR มีต้นทุนเครดิตที่ต่ำลง) 

โดยคาดว่าสินเชื่อที่เติบโตในอัตราเลขสองหลัก และคุณภาพสินทรัพย์ที่มีความเสถียร จะช่วยหนุนกำไร MTC โต 12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาส 2/68  ส่วน SAWAD คาดว่ากำไรจะลดลง 14% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินเชื่อและรายได้ดอกเบี้ยสุทธิหดตัว

นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะมีต้นทุนเครดิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ยกเว้น SAK ที่คาดว่าจะต้นทุนเครดิตเพิ่มขึ้น 0.30% มาอยู่ที่ 1.70% เนื่องจากมีการตัดหนี้เสีย (NPL) ออกจากงบดุลในสัดส่วนที่สูง เพื่อรักษาอัตราส่วน NPL ให้คงที่ในไตรมาส 2/68

ขณะที่ MTC มีแนวโน้มเห็นอัตราส่วน NPL ลดลง จากการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ ส่วน SAWAD คาดว่าจะขาดทุนจากการขายรถยนต์และมอเตอร์ที่ถูกยึดลดลง หลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

โดยบล.เมย์แบงก์แนะนำ “ซื้อ” หุ้น MTC ราคาเป้าหมาย 45 บาท, KTC ราคาเป้าหมาย 30 บาท, TIDLOR ราคาเป้าหมาย 20 บาท, SAWAD ราคาเป้าหมาย 27 บาท, AEONTS ราคาเป้าหมาย 120 บาท และ SAK ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท ส่วน ASK แนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 9.50 บาท

Back to top button