
“กรภัทร” ชี้ไทยอัตราภาษี 19% ดีสุดอาเซียน ชูกลุ่มนิคม-เกษตรฟื้น
“กรภัทร วรเชษฐ์” มองอัตราภาษี 19% ของไทยเหนือกว่าประเทศอาเซียน ย้ำสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ตลาดหุ้นมีโอกาสฟื้นตัว กลุ่มนิคมฯ-เกษตร-พลังงานน่าจับตา
นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 1 ส.ค.68 ว่าในส่วนของอัตราภาษีที่ตกลงกันที่ 19% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกัมพูชา โดยอัตรานี้ถือเป็นระดับที่ดีที่สุดในภูมิภาค ยกเว้นสิงคโปร์ ที่มีอัตราภาษีเพียง 10% เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่เน้นธุรกิจภาคบริการและขาดดุลการค้า จึงไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับประเทศไทย ส่วนเวียดนามนั้น อัตราภาษีสูงกว่าเราและยังมีความเสี่ยงที่จะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมถึง 40% จากกรณีการสวมสิทธิ์ทางการค้า (transshipment) ด้วยเหตุนี้ ภาพรวมของอัตราภาษี 19% ที่ไทยได้รับถือว่าดีและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในภูมิภาคอย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ การเจรจาเรื่องการเปิดเสรีทางการค้ากับสหรัฐฯ ได้มีการตกลงในเรื่องการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าเกษตรบางประเภท เช่น ข้าว และเนื้อสัตว์ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สำคัญและเป็นไปในทิศทางที่สมดุลเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่เปิดเสรี 100% ในขณะที่เวียดนามมีข้อจำกัดด้านภาษีที่สูงกว่า
สำหรับนักลงทุนทั่วไปและนักลงทุนสถาบัน อาจมีคำถามว่าแม้อัตราภาษีจะสูงขึ้นจากเดิม แต่ก็ต้องเข้าใจว่า สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีจากทุกประเทศที่ทำการค้าเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เฉพาะไทยเพียงประเทศเดียว ดังนั้นจึงต้องพิจารณาในภาพรวมว่าไทยได้รับอัตราภาษีที่แข่งขันได้ในระดับตลาดเกิดใหม่
ส่วนในแง่ของตลาดหุ้นไทย ภาพรวมในช่วง 1 เดือนข้างหน้าคาดว่าจะมีความผันผวนแต่มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นได้ โดยดัชนี SET อาจปรับตัวขึ้นไปในกรอบ 1,295-1,330 จุด แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรระยะสั้นเกิดขึ้นบ้างก็ตาม โดยแนวรับอยู่ที่ประมาณ 1,230-1,239 จุด และแนวต้านด้านบนอยู่ที่ 1,260 จุด
สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าจับตามอง ได้แก่ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ที่ได้รับประโยชน์จากการค้าเสรี
กลุ่มเกษตร เช่น บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF, บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU, บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT และ บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO ที่มีโอกาสฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบเรื่องภาษี
กลุ่มพลังงาน เช่น บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และกลุ่มปิโตรเคมี รวมถึงไฟฟ้าอย่าง บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่ได้รับผลบวกจากการนำเข้าพลังงาน
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจไทยอาจเติบโตที่ประมาณ 1.3-1.6% โดยมีโอกาสสูงขึ้นถ้าอัตราภาษีที่ 19% ทำให้เกิดแรงจูงใจในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดทุนและเศรษฐกิจในระยะกลางถึงยาว