
MINT โกยกำไร Q2 ทะลุ 3 พันลบ. โต 9% รับธุรกิจโรงแรมยุโรป-ร้านอาหารแกร่ง
MINT โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 2/68 เติบโต 9% แตะ 3,085 ล้านบาท รับแรงหนุนธุรกิจโรงแรมยุโรปและมัลดีฟส์ ร้านอาหาร หนุนรายได้แตะ 43,359 ล้านบาท แม้เผชิญแรงกดดันเงินบาทแข็ง แต่ยังบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดยบริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 3,085.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.29% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 2,823.22 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 43,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (ลดลง 3% หากรวมผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาทต่อสกุลเงินหลัก) การเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร
ทั้งนี้ ธุรกิจโรงแรมได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปและมัลดีฟส์ประกอบกับความแข็งแกร่งของแบรนด์ที่เป็นที่ยอมรับ ขณะที่ ธุรกิจร้านอาหาร ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์และกิจกรรมทางการตลาดที่หลากหลายภายใต้แบรนด์หลัก ซึ่งช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของลูกค้า และสนับสนุนการเติบโตของยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (Core EBITDA) ในไตรมาส 2 ปี 2568 ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนระดับ 12,542 ล้านบาท โดยการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคามาจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจโรงแรมในยุโรปและมัลดีฟส์
ขณะเดียวกัน บริษัทมีการควบคุมต้นทุนอย่างมีวินัยและบริหารประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิผล สามารถชดเชยผลกระทบจากความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงของธุรกิจร้านอาหาร โดยเฉพาะในจีนและออสเตรเลีย อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมผลกระทบจากการแปลงค่าเงินแล้ว กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคาปรับตัวลดลง 5%
ส่วนกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 3,411 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2568 คิดเป็นการเติบโต 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ โดยต่อยอดจากฐานที่สูงในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการเติบโตดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคที่กล่าวถึงก่อนหน้า
เสริมด้วยความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มขึ้นจากการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากระดับหนี้สินและต้นทุนเงินทุนที่ต่ำลง ตลอดจนการบริหารภาษีอย่างมีประสิทธิภาพของไมเนอร์ ฟู้ด ซึ่งทั้งหมดล้วนส่งผลให้กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น โดยเมื่อรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการดำเนินงานเติบโต 6% เมื่อเทียบกับปีก่อน
ทั้งนี้ หากดูในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 ธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมมีรายได้รวมลดลง 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามหากคำนวณรายได้ที่อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ รายได้รวมจะเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าสะท้อนถึงสภาพแวดล้อมในการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) ลดลง 3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 17,343 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงของรายได้โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากแรงกดดันด้านอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาส 2 ปี 2568 ทั้งนี้ อัตรากำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคาโดยรวมยังคงทรงตัวที่ 27.10% ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2568 เทียบกับ 27% ในช่วงเดียวกันของปี 2567 โดยโรงแรมในประเทศไทยและยุโรป โครงการที่อยู่อาศัย รวมถึง Pop Mart ต่างมีความสามารถในการทำกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น