
MEDEZE ปักธงครึ่งหลังปี 68 สดใส! แย้ม “อย.” ไฟเขียววิจัยฟื้นฟูผิว-เข่าเสื่อม
MEDEZE มั่นใจครึ่งหลังปี 68 สดใส เผย “อย.” ไฟเขียววิจัย 2 โครงการฟื้นฟูผิว-เข่าเสื่อม ดันความเชื่อมั่นลูกค้ากลับมา คาดโครงการ ATMPs Sandbox ศูนย์การแพทย์บางรักเสร็จตามเป้า ก.ย.นี้ พร้อมเปิดเป็น National ATMP ต้นเดือน ต.ค. ก่อนเดินหน้าลุยวิจัยครบ 5 โครงการในปี 69 ปูทางรายได้โตปี 70
นายวีรพล เขมะรังสรรค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมดีซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MEDEZE เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจในครึ่งหลังปี 2568 คาดการณ์จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงไตรมาส 3–4 ปี 2568 ที่ลูกค้าจะเริ่มกลับมาหลังชะลอการใช้จ่ายในช่วงไตรมาส 2 ปี 2568 และความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยจะเพิ่มขึ้น ส่วนโครงการ Sandbox ปัจจุบันเริ่มดำเนินงานไปแล้ว ซึ่งใช้เงินส่วนตัวขับเคลื่อนโครงการให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง
โครงการ ATMPs Sandbox อาคาร ศูนย์การแพทย์บางรัก ที่มีแผนแล้วเสร็จตามเป้าหมายในวันที่ 15 กันยายน 2568 ซึ่งโครงการนี้ได้รับการลงนามรับรองโดย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ให้ตึกศูนย์การแพทย์บางรักเป็น National ATMP แห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้การดูแลของ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข โดยมีกำหนดเปิดอาคารอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือน ตุลาคม 2568
สำหรับปี 2569 จะเริ่มมีการดำเนินงานจริงจัง ซึ่งคาดการณ์ว่ามีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่ม อาทิ ค่าใช้จ่ายการจ้างแพทย์ช่วยดำเนินการ เก็บข้อมูล และติดตามผลโดยหากดำเนินการวิจัย 5 โรค งบรวม 50 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ต้องใช้ต่อการทำวิจัยโรคราว 10 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายด้านค่าเช่า เช่น ศูนย์การแพทย์บางรักที่คิดค่าเช่าราวปีละ 5 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามโดยเฉลี่ยงบประมาณต่อหนึ่งโครงการวิจัยอยู่ที่ราว 10–15 ล้านบาท ซึ่งตัวเลข 15 ล้านบาท จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด เช่น ค่าประกันภัย ค่าสถานที่ ค่าใช้จ่ายด้านงานวิจัย ค่าตอบแทนอาสาสมัคร และค่าใช้จ่ายด้านเซลล์ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายจริงของบริษัทมักอยู่ใกล้ 10 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากย้อนหลับไปเป้าหมายของรัฐบาลตั้งแต่ต้น คือ ภายในปี 2568 บริษัทจะต้องดำเนินโครงการวิจัยให้ครบทั้ง 5 โครงการ ครอบคลุมการวิจัย 5 โรค ให้เสร็จสิ้นตามแผนเดิมคือเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เพื่อให้สามารถขึ้นทะเบียนยาได้ภายในไตรมาส 3–4 ของปี 2569 แต่เกิดมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องการให้อนุมัติให้ดำเนินจาก 2 โครงการวิจัยก่อนเดือนตุลาคม 2568 ได้แก่ โครงการฟื้นฟูสภาพผิว (Skin Rejuvenation) และโครงการฟื้นฟูข้อเข่าเสื่อม
ส่วนการวิจัยการฉีดเพื่อชะลอวัยทางหลอดเลือดดำและการฟื้นฟูกระดูกสันหลัง คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2569 ตามมาด้วยโครงการ NK Cell ภายในไตรมาส 1/2569 ทั้ง 5 โครงการวิจัยจะเสร็จสิ้นภายในสิ้นปี 2569 และยังมีโครงการต่อเนื่องจากกระทรวงสาธารณสุข เช่น การวิจัยรักษาไตแข็ง คาดว่าบริษัทจะดำเนินการวิจัยได้ปีละราว 4 โครงการ หรือใช้งบประมาณไม่เกิน 60 ล้านบาทต่อปี
“เมื่อโครงการเหล่านี้เสร็จสิ้น คาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนและคณาจารย์แพทย์จะทราบแนวโน้มผลการวิจัยเบื้องต้นล่วงหน้า บริษัทจึงมีแผนประชาสัมพันธ์ผลวิจัยล่วงหน้า เพื่อให้ตลาดเตรียมความพร้อมสำหรับการให้บริการ” นายวีรพล กล่าว
อีกประเด็นที่น่าสนใจที่ถือเป็นเรื่องดี คือ บริษัทคาดว่าในปี 2569 จะได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมอีกประมาณ 2–3% จาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หลังลงทุนโครงการเกี่ยวกับเลือดสายสะดือ นอกจากนี้ เมื่อถึงปี 2570 หากรายได้บริษัทเพิ่มขึ้น พร้อมทั้ง บริษัทคาดการณ์ว่าจะลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมีนัยสำคัญเพราะได้นำระบบโรบอติกมาใช้ในกระบวนการผลิตทั้งหมด