
IVL ไตรมาส 2 ขาดทุนลดลง เน้นกลยุทธ์ลดต้นทุน-เสริมแกร่งสภาพคล่อง
IVL เผยงบไตรมาส 2/68 ขาดทุนเหลือ 521 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 2.2 หมื่นล้าน แม้ตลาดเคมีโลกยังชะลอ แต่เดินหน้ากลยุทธ์ “IVL 2.0” ปรับโครงสร้างลดต้นทุนคงที่ เสริมสภาพคล่อง และลงทุนธุรกิจมูลค่าสูง รีไซเคิล PET ตั้งเป้าสร้างฐานเติบโตยั่งยืนใน 3 ปี
บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 และงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ขาดทุนสุทธิ ดังนี้
บริษัทรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2568 ขาดทุนอยู่ที่ 521.01 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ปี 2567 ขาดทุนอยู่ที่ 22,995.73 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากบริษัทมีรายได้รวม ลดลง 11% ลดลงจากไตรมาสที่ 2 ปี 2567 จากปริมาณการขายที่ต่ำลงและราคาขายที่ถูกกดดันในสภาพตลาดน้ำมันดิบที่อ่อนตัว
ทั้งนี้ รายงานผลประกอบการครึ่งปีแรกปรับตัวลดลง ขณะที่ฝ่ายบริหารยังคงเดินหน้าดำเนินกลยุทธ์การปรับเปลี่ยนองค์กร “IVL 2.0” ตามแผนระยะ 3 ปี มุ่งเสริมความแข็งแกร่งของบริษัทฯ เพื่อรับมือกับภาวะชะลอตัวที่ยังคงต่อเนื่องในตลาดเคมีภัณฑ์โลก
โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 อินโดรามา เวนเจอร์ส รายงาน Adjusted EBITDA1 ลดลง 21% เมื่อเทียบปีต่อปี มาอยู่ที่ 606 ล้านเหรียญสหรัฐ ปริมาณการขายลดลง 8% เมื่อเทียบปีต่อปี เนื่องจากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนของหลายโรงงาน และสภาพอากาศหนาวจัดในสหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานชั่วคราว
นอกจากนี้ ช่วงหกเดือนแรกของปียังสะท้อนถึงแรงกดดันทางเศรษฐกิจมหภาคที่กดดันอุตสาหกรรมต่อเนื่องมากว่าสองปี อาทิ การเพิ่มอุปทานจากจีน และผลกระทบของความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในยุโรปและตะวันออกกลาง ที่กระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก ต้นทุนวัตถุดิบ และอุปสงค์ของผู้บริโภค
ทั้งนี้ ตลอดช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ฝ่ายบริหารที่มากประสบการณ์ของ อินโดรามา เวนเจอร์ส ยังคงเดินหน้ามาตรการ “พึ่งพาตนเอง” ภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุนคงที่ และสร้างกระแสเงินสด โดยในครึ่งปีแรกบริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานแข็งแกร่งอยู่ที่ 618 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการเปลี่ยน EBITDA ที่รายงานเป็นกระแสเงินสดสูงถึง 111% เมื่อเทียบปีต่อปี
ขณะที่ต้นทุนคงที่โดยรวมลดลง 51 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังหักผลกระทบจากเงินเฟ้อ ทั้งนี้ สะท้อนถึงการบริหารการเงินอย่างรอบคอบ ความเป็นเลิศด้านการพาณิชย์ และความยืดหยุ่นที่เกิดจากโมเดลการเป็นผู้นำที่เป็นเอกลักษณ์ของอินโดรามา เวนเจอร์ส ในหลากหลายตลาด
ส่วนในไตรมาสล่าสุด การดำเนินงานของบริษัทฯ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากเหตุการณ์พายุหนาวและการหยุดซ่อมบำรุงตามแผน ซึ่งส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 2 ปี 2568 เพิ่มขึ้น 2% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ถึงแม้จะยังลดลง 11% เมื่อเทียบปีต่อปี สะท้อนถึงความท้าทายโดยรวมของอุตสาหกรรม ในไตรมาส 2 ปี 2568 รายงาน Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส มาอยู่ที่ 330 ล้านเหรียญสหรัฐ นำโดยการปรับตัวดีขึ้นของกลุ่มธุรกิจ Combined PET (CPET) ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของบริษัท ขณะที่เมื่อเทียบปีต่อปียังลดลงร้อยละ 11
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 พอร์ตโฟลิโอธุรกิจ Integrated PET ได้รับประโยชน์จากการปรับโครงสร้างสินทรัพย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่ดำเนินการในช่วงปีที่ผ่านมา ภายใต้กลยุทธ์ IVL 2.0 ส่งผลให้ Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 12% แม้ว่าจะมีการผลิตเกินกำลังอย่างต่อเนื่องในอุตสาหกรรม
โดยรวมแล้ว กลุ่มธุรกิจ CPET มี Adjusted EBITDA ลดลง 31% เมื่อเทียบปีต่อปี ตามการลดลงของปริมาณการขาย 10% ท่ามกลางการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนหลายครั้ง สภาวะตลาด MEG แบบบูรณาการในสหรัฐฯ ที่อ่อนตัว และการผลิต NDC ที่ลดลงเนื่องจากจังหวะการดำเนินงานตามแผนการผลิต อย่างไรก็ตาม ผลกำไรของ MTBE ได้ปรับอยู่ในระดับปกติช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 ด้วยตลาดน้ำมันเบนซินมีความสมดุลมากขึ้นกว่าเมื่อปี 2567
กลุ่มธุรกิจ Fibers มีกำไรจาก Adjusted EBITDA เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบปีต่อปี และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 3% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 สะท้อนถึงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้นในกลุ่มไลฟ์สไตล์ และการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องของฝ่ายบริหารเพื่อปรับโครงสร้างการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกส่วนของกลุ่มธุรกิจ สำหรับกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์ Indovida มีผลประกอบการทรงตัวตลอดครึ่งปี โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศอียิปต์และฟิลิปปินส์
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Indovinya มี Adjusted EBITDA ลดลง 6% และปริมาณการขายลดลง 3% เนื่องจากผลการดำเนินงานที่อ่อนตัวลงของธุรกิจ Essentials ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนปาล์มที่สูงขึ้น ส่วนธุรกิจ Surfactants ยังคงมีส่วนต่างอยู่ระดับคงที่ 17% เมื่อเทียบปีต่อปี
นายอาลก โลเฮีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทฯ IVL กล่าวว่า นับตั้งแต่เราเริ่มดำเนินกลยุทธ์ IVL 2.0 เมื่อกว่าหนึ่งปีก่อน เรามุ่งมั่นดำเนินมาตรการพึ่งพาตนเองอย่างมีวินัย เพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กรและช่วยให้เราสามารถฟื้นคืนตัวได้อย่างแข็งแกร่งและคล่องตัว
เพื่อสานต่อเป้าหมายการเติบโตหลังจากผ่านพ้นช่วงขาลงที่เป็นประวัติศาสตร์ครั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่เราต้องจัดการอย่างจริงจังคือธุรกิจ Integrated EO/EG ในพื้นที่ชายฝั่งอ่าวของสหรัฐอเมริกา ทางกรรมการบริหารต้องการที่จะพิจารณาธุรกิจนี้เชิงกลยุทธ์เพื่อประเมินคุณค่าที่มีต่อกลุ่มธุรกิจ CPET ของเรา ในด้านการเติบโต เรายังคงจัดหาเงินทุนสำหรับพอร์ตโฟลิโอธุรกิจ Surfactants ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ และความเป็นผู้นำด้านโพลิเมอร์รีไซเคิล ผ่านกระแสเงินสดภายในองค์กร รวมถึงยังคงมุ่งเน้นมาตรการลดภาระหนี้เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวต่อไป
ความคืบหน้าของกลยุทธ์ IVL 2.0 ในครึ่งปีแรก นับตั้งแต่การเปิดตัวแผนกลยุทธ์ IVL 2.0 ในเดือนมีนาคม 2567 ฝ่ายบริหารที่มากประสบการณ์ของอินโดรามา เวนเจอร์ส ยังคงมุ่งเสริมสร้างความยืดหยุ่นและปรับตำแหน่งองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ปัจจุบัน หลังจากดำเนินกลยุทธ์นี้มากว่าหนึ่งปีในกรอบแผนระยะ 3 ปี (2567-2569) ทีมผู้นำกำลังขับเคลื่อนองค์กรให้มีโครงสร้างที่กระชับ คล่องตัวมากขึ้น และมีวินัยทางการเงิน ผ่านแผนงานด้านการปรับโครงสร้างฐานการผลิต การยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน การขับเคลื่อนนวัตกรรม และการเร่งใช้เทคโนโลยีดิจิทัล
ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างฐานการผลิต ซึ่งรวมถึงการปิดโรงงานในประเทศโปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และแคนาดา ส่งผลให้ประหยัดต้นทุนคงที่ได้ 116 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนต่อปีได้ราว 130–150 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568 และเพิ่มเป็น 170–190 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2570 นอกจากนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะได้รับเงินสดราว 190–200 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการขายทรัพย์สินที่ปรับโครงสร้างแล้ว ระหว่างช่วงครึ่งปีหลังของปี 2568 จนถึงปี 2569
อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้ปรับโครงสร้างการดำเนินงานของทั้งสี่กลุ่มธุรกิจ โดยมอบอำนาจและความรับผิดชอบที่ชัดเจนแก่ผู้นำแต่ละกลุ่ม พร้อมพันธกิจที่ชัดเจนเพื่อส่งมอบผลการดำเนินงานในระดับผู้นำอุตสาหกรรมตลอดวัฏจักรธุรกิจ ขณะนี้ยังมีการปรับโครงสร้างในส่วนงานองค์กร (Corporate functions) ควบคู่กันไป ทั้งนี้ แต่ละกลุ่มธุรกิจเริ่มได้รับประโยชน์จากโครงการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลอย่างครบวงจร ภายหลังการติดตั้งระบบ SAP S/4HANA สำเร็จ ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับการใช้งานเครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Salesforce และ Workday รวมถึงโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตและการบำรุงซ่อมแซม
บริษัทฯ มีสถานะสภาพคล่องที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่า 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ณ เดือนมิถุนายน 2568 พร้อมมุ่งรักษาวินัยทางการเงินและสร้างกระแสเงินสดอิสระอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุลตามเป้าหมายระยะยาวของอัตราหนี้สินต่อ EBITDA (Debt/EBITDA) ที่ 3 เท่า ในช่วงครึ่งปีแรก อินโดรามา เวนเจอร์ส ได้ระดมทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ผ่านการรีไฟแนนซ์ระยะยาวในอัตราส่วนต่างที่ดีขึ้น ซึ่งช่วยลดต้นทุนและสร้างความมั่นใจด้านสภาพคล่องไปจนถึงปี 2570
ภายใต้กลยุทธ์การเติบโตครั้งใหม่ที่มุ่งลงทุนในกลุ่มธุรกิจมูลค่าสูงและตลาดเติบโตที่คัดสรรแล้ว ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นจำนวนร้อยละ 24.9 ในบริษัท EPL นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ขยายสายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมูลค่าเพิ่มสูง (High-Value-Added: HVA) ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น โพลิเมอร์ PEN และ PET-G ซึ่งมีอัตรากำไรดีกว่า PET แบบดั้งเดิม รวมถึงสองแบรนด์ชั้นนำในอุตสาหกรรมการสกัดพลังงาน ได้แก่ Kemelix และ Flowsolve โรงงานผลิตเส้นใยเพื่อสุขอนามัยในเมือง Mocksville สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มดำเนินงานในช่วงครึ่งปี และได้รับประโยชน์จากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังได้ร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับบริษัท PolySource เพื่อจัดจำหน่ายโพลิเมอร์ชนิดพิเศษสำหรับการใช้งานขั้นสูง ซึ่งช่วยขยายการเข้าถึงตลาดวัสดุสมรรถนะสูงของบริษัทฯ
ในไตรมาส 2 ปี 2568 อินโดรามา เวนเจอร์ส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รีไซเคิล PET ชั้นนำของโลก ได้บรรลุเป้าหมายสำคัญด้วยการรีไซเคิลขวด PET ครบ 150,000 ล้านขวด นับตั้งแต่เริ่มดำเนินการในปี 2554 บริษัทฯ กำลังเร่งผลักดันเป้าหมายในการรีไซเคิลขวด PET ให้ได้ 50,000 ล้านขวดต่อปี โดยล่าสุดสามารถรีไซเคิลขวด 50,000 ล้านขวดได้ภายในระยะเวลา 2 ปีครึ่ง
นอกจากนี้ คณะกรรมการมีมติเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดดำเนินงานวันที่ 1 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เป็นเงินสด 0.175 บาทต่อหุ้น กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล XD วันที่ 27 สิงหาคม 2568 พร้อมจ่ายเงินปันผล 11 กันยายน 2568