JAS ชูพรีเมียร์ลีก S-Curve ใหม่ หนุน Monomax ผู้ใช้พุ่ง 2.5 ล้านรายทะลุเป้า Break-even

JAS เดินเกมรุกคอนเทนต์กีฬา ชูสิทธิ์พรีเมียร์ลีกเป็น “แม่เหล็กใหม่” ดันฐานสมาชิก OTT โตเร็ว ต้นทุนต่ำ–มาร์จิ้นสูง สร้าง S-Curve ใหม่ ด้วยกลยุทธ์ยึดระยะยาว 6 ปี เสริมรายได้มั่นคงสู่อนาคต ขณะที่ Monomax ผู้ใช้พุ่ง 2.5 ล้าน ทะลุเป้า Break-even ที่ราว 1.5 ล้านสมาชิก เดินหน้าสู่เป้า 3 ล้าน พร้อมอัดเงินชนะคดี NT กว่า 5,000 ล้านบาท เสริมแผนปันผล–สำรอง–ลงทุนธุรกิจใหม่


ดร.โสรัชย์ อัศวะประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS เปิดเผยภายในงานสัมมนา “Market’s New Magnet” ในหัวข้อ“ผู้นำธุรกิจโลกยุคใหม่” ซึ่งจัดโดยหนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ว่า หลังการปรับโครงสร้างองค์กรและขายธุรกิจบางส่วนออกไปแล้ว และมีจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเข้าซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 6 ฤดูกาลติดต่อกัน ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะเป็น “S-Curve ใหม่” ของการเติบโตในธุรกิจคอนเทนต์ โดยใช้กลยุทธ์ 3P เป็นแกนหลัก ได้แก่

-Price (ราคา): กำหนดราคาที่เข้าถึงได้ แม้ลงทุนประมูลในราคาสูงกว่าคู่แข่ง แต่ด้วยเทคโนโลยี OTT บริษัทสามารถตั้งราคาขายที่ต่ำกว่าได้อย่างมีนัยสำคัญ แตกต่างจากเจ้าของสิทธิ์เดิมที่ใช้กลยุทธ์ ตั้งแพ็กเกจสูงถึง 6,000 บาทต่อปี ส่งผลให้แฟนบอลจำนวนมากหันไปดูช่องทางผิดกฎหมาย

-พันธมิตรการจับมือกับ AIS และแบรนด์ผู้บริโภคหลายราย เพื่อขยายการเข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายและเจาะตลาดในวงกว้าง

-ปราบละเมิดลิขสิทธิ์ทำงานร่วมกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) แก้ปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างรายได้ โดยมีเป้าหมายเปลี่ยนผู้ชมพรีเมียร์ลีกในประเทศไทยกว่า 5-6 ล้านคนที่ยังดูผิดกฎหมาย ให้กลายเป็นลูกค้าที่ถูกกฎหมาย

ดร.โสรัชย์ ระบุอีกว่า เทคโนโลยีใช้เทคโนโลยี OTT (Over-The-Top) และแอปพลิเคชัน Streaming ช่วยให้บริษัทได้เปรียบเชิงต้นทุน เพราะเป็นต้นทุนคงที่ (fixed cost) ไม่ว่าจะมีผู้ชม 500,000 หรือ 3 ล้านคน ต้นทุนแทบไม่ต่างกัน เมื่อผ่านจุดคุ้มทุนแล้วกำไรขั้นต้นจะสูงมาก อีกทั้ง OTT ยังให้ความสะดวกในการเข้าถึง ไม่เพียงในประเทศ แต่ยังสามารถรับชมได้ทั่วโลกผ่านระบบโรมมิ่ง ซึ่งต่างจากกล่องรับสัญญาณแบบเดิมที่จำกัดการใช้งาน

การเลือกทำสัญญายาวถึง 6 ปี แทน 3 ปีตามปกติ ถือเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างฐานธุรกิจที่มั่นคง บริษัทมองว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการเรียนรู้และปรับตัว หากได้สิทธิ์เพียง 3 ปีจะไม่ทันเก็บเกี่ยวผลประโยชน์เต็มที่ การมีสิทธิ์ยาว 6 ปีจึงช่วยให้ JAS โฟกัสการเติบโตโดยไม่ต้องเร่งสร้างกำไรในช่วงแรก

ทั้งนี้ JAS จะใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี Streaming และ Network เชื่อมต่อธุรกิจคอนเทนต์เดิมของ Mono Max (scripted entertainment) กับคอนเทนต์กีฬา (non-scripted entertainment) เพื่อสร้างฐานสมาชิกใหม่ และผลักดันกำไรที่มั่นคงยั่งยืน พร้อมวางตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในอนาคต

ด้านรายได้จากค่าสมาชิก (Subscriber Fees) Monomax กำหนดที่ 299 บาทต่อเดือน และ 2,999 บาทต่อปี โดยมีการแบ่งรายได้กับบริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO  ประมาณ 50 บาทต่อสมาชิกต่อเดือน ส่วนที่เหลือเป็นของ JAS

โดยปัจจุบัน Monomax มีผู้ใช้งานแล้วกว่า 2.5 ล้านราย จากเดิมเพียง 1 ล้านราย ก่อนคว้าสิทธิ์พรีเมียร์ลีก ขณะที่ตลาดแฟนบอลพรีเมียร์ลีกในไทยมีฐานใหญ่ 5-6 ล้านคน โดยเป้าหมาย break-even (หรือจุดคุ้มทุน) อยู่ที่ราว 1.5 ล้านสมาชิก หากถึงระดับดังกล่าว ธุรกิจจะเข้าสู่จุดทำกำไรสูง (high margin) และหากสามารถขยายสมาชิกได้ถึง 2-3 ล้านราย  หากจัดการเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ได้ดีเป้าหมายสมาชิก 3 ล้านคนไม่น่าเป็นปัญหา

สำหรับรายได้หลักจากสปอนเซอร์คาดว่าปีนี้จะอยู่ใกล้ระดับ 1,000 ล้านบาท โดยมีพันธมิตรสำคัญ เช่น PLANB, MONO, AIS โดยรายได้ส่วนนี้ถือเป็นของ JAS โดยการใช้กลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตร เช่น การจัดกิจกรรมถ่ายทอดสดหน้าห้าง หรืออีเวนต์พิเศษ เช่น แมตช์ “Manchester United พบ Liverpool” โดยแทบไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากสถานที่จัดได้ประโยชน์จากการขายตั๋ว ส่วนบริษัทได้ผลจากการสร้างแบรนด์และเข้าถึงแฟนบอล ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการโปรโมชันส่วนใหญ่เน้นไปที่ช่องทางออนไลน์และโซเชียลมีเดีย

ส่วนการขยายธุรกิจต่างประเทศ JAS ได้สิทธิ์ครอบคลุม 3 ประเทศ โดยใน สปป.ลาว มีการร่วมมือกับ Lao Telecom ในรูปแบบ Revenue Sharing คาดการณ์สมาชิกที่ 200,000–500,000 ราย ค่าสมาชิกอยู่ที่ 140 บาทต่อเดือน  ขณะที่กัมพูชายุติการให้บริการเนื่องจากปัญหาลักลอบดู ส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยอาศัยโมเดลแอปพลิเคชันสตรีมมิ่งคล้าย Netflix ที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนสูง

ด้านเงินชนะคดี NT ที่ต่อสู้มายาวนานกว่า 17 ปี มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท (เงินต้นกว่า 2,000 ล้านบาทบวกดอกเบี้ย) ซึ่ง NT พร้อมชำระเงินก้อนนี้ โดยเงินดังกล่าวจะไม่ถูกนำไปใช้ชดเชยค่าลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก เนื่องจากโครงการสามารถเลี้ยงตัวเองได้แต่จะถูกจัดสรร 3 ทาง ได้แก่ การจ่ายเงินปันผลพิเศษให้ผู้ถือหุ้น การกันเป็นเงินสดสำรองเพื่อเสริมความมั่นคง และการใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่หรือปรับโครงสร้างบุคลากร

ดร.โสรัชย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้กำไรในปีแรกอาจยังไม่สูงนักเพราะเป็นช่วงเรียนรู้และแก้ปัญหาเทคนิค แต่หลังจากผ่านไปหนึ่งฤดูกาล ความเชี่ยวชาญที่เพิ่มขึ้นจะช่วยผลักดันกำไรให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด และสร้าง S-Curve ใหม่ที่มั่นคงในอนาคต

Back to top button