
เปิดมุมมอง “ศุภชัย เจียรวนนท์” ศักยภาพไทยบนเวทีโลก ท่ามกลางความท้าทายใหม่
ท่ามกลางพายุแห่งความท้าทายที่ถาโถม ทั้งภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และสังคม ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกสำคัญที่หลายคนมองเห็นแต่ความไม่แน่นอน แต่ในมุมมองของซีอีโอระดับประเทศอย่าง ‘ศุภชัย เจียรวนนท์’ นี่คือโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ในการพลิกวิกฤตสู่การเติบโตครั้งใหม่ ร่วมสำรวจศักยภาพที่ซ่อนอยู่และทิศทางที่ไทยต้องมุ่งไปเพื่อทะยานบนเวทีโลก
ท่ามกลางคลื่นความผันผวนที่โหมกระหน่ำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การปฏิวัติทางเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง หรือสภาวะเศรษฐกิจที่ยากจะคาดเดา ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกแห่งประวัติศาสตร์ ที่ซึ่งหลายคนอาจมองเห็นเพียงม่านหมอกของความท้าทาย แต่สำหรับผู้ที่มองลึกลงไป จะพบแสงแห่งโอกาสครั้งสำคัญในการปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่และทะยานสู่การเติบโตครั้งใหม่ที่โลกต้องจับตา
ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับโจทย์ใหญ่หลายมิติ ทั้งกับดักรายได้ปานกลางที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลง, สังคมสูงวัยที่สร้างแรงกดดันต่อกำลังแรงงาน, ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ฝังรากลึก และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น แต่ความท้าทายเหล่านี้ไม่ใช่จุดจบ หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยน” ที่บีบให้เราต้องลุกขึ้นมาสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
ทว่าท่ามกลางเสียงสะท้อนแห่งความกังวล กลับมีมุมมองแห่งความเชื่อมั่นจากภาคเอกชนชั้นนำ โดยคุณศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ฉายภาพผ่านเวที Thailand Focus 2025 ว่าภายใต้คลื่นลมนี้ ประเทศไทยยังมีรากฐานที่มั่นคงและมีศักยภาพมหาศาลซ่อนอยู่ ทำให้เครือซีพียังคงเดินหน้าลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศ
วิสัยทัศน์นี้สอดคล้องกับทิศทางของภาครัฐอย่างสมบูรณ์ โดยเฉพาะศักยภาพของไทยในการก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center Hub)” แห่งภูมิภาค เห็นได้จากการลงทุนด้านดาต้าเซ็นเตอร์กำลังหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยความเหมาะสมทางภูมิศาสตร์ ควบคู่กับนโยบายส่งเสริมการลงทุนและการเปิดกว้างของประเทศ คุณศุภชัย เชื่อว่า ไทยจะเป็นอีกหนึ่งฮับที่สำคัญอย่างยิ่งของอาเซียนและเอเชียในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งถือเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วย AI ในอนาคต
ขณะที่หลายพื้นที่ของไทย ยังกลายเป็นจุดหมายปลายทางแรกๆ ของนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะนักลงทุนชาวจีน ที่เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิประโยชน์ต่างๆ และโครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย
นอกจากนี้ หัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือ “คน” การสร้างประเทศไทยให้เป็น “ศูนย์รวมคนเก่ง (Talent Hub)” เพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลก ควบคู่ไปกับการยกระดับทักษะแรงงานในประเทศ คือกุญแจดอกแรกที่จะปลดล็อกขีดความสามารถในการแข่งขัน
ขณะเดียวกัน รากฐานสำคัญของประเทศอย่างภาคการเกษตรก็มีโอกาสในการ “ปฏิวัติ” ครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนจากการผลิตพืชวัตถุดิบราคาต่ำ ไปสู่การเพาะปลูกพืชมูลค่าสูงเพื่อตอบสนองตลาดโลกที่ยังมีช่องว่างอยู่มหาศาล โดยทั้งหมดนี้จะถูกขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยวิสัยทัศน์การเป็นผู้นำด้าน “เศรษฐกิจดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว (Digital & Green Economy)” เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
บทสรุปทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้เส้นทางข้างหน้าจะมีความท้าทายรออยู่ แต่ประเทศไทยมีทั้งรากฐานที่แข็งแกร่งและวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเรากำลังเดินมาถูกทาง เหลือเพียงการปรับตัวอย่างฉับไวและการลงมือทำอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนทุกอุปสรรคให้กลายเป็นโอกาส และนำพาประเทศทะยานสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งบนเวทีโลกต่อไป