“รมว.คลังสหรัฐ” กังวลศาลฎีกา ชี้ภาษีทรัมป์ผิดจริง จ่อคืนเงินดีลคู่ค้า 1 ล้านล้านดอลลาร์

สก็อตต์ เบสเซนต์ รมว.คลังสหรัฐฯ ยอมรับ หากศาลฎีกาตัดสินมาตรการภาษีทรัมป์ผิดจริง อาจต้องคืนเงินดีลคู่ค้ากว่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ให้คู่ค้า


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (8 ก.ย. 68) สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ แสดงความเชื่อมั่นว่า มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะได้รับการรับรองจากศาลฎีกาสหรัฐฯ แต่ยอมรับว่า หากศาลมีคำตัดสินให้เป็นโมฆะ กระทรวงการคลัง อาจต้องคืนเงินจำนวนมหาศาลประเทศผู้นำเข้าที่จ่ายภาษีให้กับสหรัฐฯ แล้ว

เบสเซนต์ ให้สัมภาษณ์ในรายการ Meet the Press ของสำนักข่าว NBC เมื่อวันอาทิตย์ 7 ก.ย. ว่า หากคำพิพากษาของศาลฎีกาออกมาไม่เป็นผลตามที่คาด รัฐบาลอาจต้องคืนเงินราวครึ่งหนึ่งของภาษีที่เรียกเก็บมาแล้ว ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพการคลังอย่างหนัก แต่ก็ย้ำว่า หากศาลมีคำสั่งก็ต้องปฏิบัติตาม

พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า หากการพิจารณาคดีล่าช้า ยอดภาษีที่เก็บแล้วอาจสูงถึง 7.5 แสนล้านถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการคืนเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ อาจสร้างส่งผลกระทบอย่างหนักต่อสถานะการคลังของรัฐบาลสหรัฐฯ

โดยก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่ทรัมป์ประกาศใช้ โดยคณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 4 เสียง ตัดสินว่า ผู้นำสหรัฐฯ ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ค.ศ. 1977 โดยศาลได้อนุญาตให้มาตรการภาษีของปธน.ทรัมป์ยังคงบังคับใช้ต่อไปได้จนถึงวันที่ 14 ต.ค. เพื่อให้รัฐบาลทรัมป์มีโอกาสยื่นอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ต่อมาในวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ทรัมป์ได้เรียกร้องให้ศาลฎีกาเร่งรับคำร้องและกลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ที่มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ที่เขาประกาศใช้กับประเทศทั่วโลกนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปธน.ทรัมป์ได้ยื่นเอกสารต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้ศาลพิจารณาการอุทธรณ์ของเขาในช่วงต้นเดือนพ.ย.นี้

อีกทั้ง ขอให้ศาลประกาศคำตัดสินสุดท้ายเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของมาตรการภาษีศุลกากรในเวลาไม่นานหลังจากนั้น

การชะลอคำตัดสินไปจนถึงเดือนมิ.. 2569 อาจมีผลต่อภาษีศุลกากรที่ได้มีการจัดเก็บไปแล้วมูลค่า 7.50 แสนล้านดอลลาร์ 1 ล้านล้านดอลลาร์ และการยกเลิกมาตรการเหล่านี้ในภายหลังอาจทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมาก ทรัมป์ ระบุในเอกสารดังกล่าว

ขณะที่ ทรัมป์ได้ใช้ข้อกฎหมาย IEEPA ในการกำหนดมาตรการภาษีนำเข้าในอัตราสูงต่อประเทศคู่ค้า โดยประกาศให้การขาดดุลของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับประเทศอื่น ๆ เป็นวาระฉุกเฉินของชาติ

Back to top button