“เมย์แบงก์” เร่งทรานส์ฟอร์ม “โบรกเกอร์ดิจิทัล” ตั้งเป้ากำไรแตะพันล้าน ภายในปี 73

“บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)” เดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจ ยกระดับทีมที่ปรึกษาและนวัตกรรมดิจิทัล หนุนประสบการณ์การลงทุนครบวงจร ตั้งเป้าดันกำไรแตะระดับ 1 พันล้านบาท ภายในปี 2573 ส่วนเป้า SET สิ้นสุดปีนี้ทดสอบ 1,290 จุด และปีหน้าที่ระดับ 1,370 จุด


นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MST เปิดเผยว่า กว่า 20 ปีที่ผ่านมา บริษัทมุ่งเน้นธุรกิจรีเทล ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ 7.3% ซึ่งอยู่ระดับต้นของไทย (เบอร์ 1-2 ของวงการบริษัทหลักทรัพย์) โดยเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการครบวงจร ทั้งธุรกิจซื้อขายหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจ (Investment Banking: IB) ที่ช่วยนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มาอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม เมื่อพฤติกรรมของนักลงทุนไทยเริ่มเปลี่ยนจากการเป็นนักเก็งกำไรระยะสั้น (Day Trader) ไปสู่การลงทุนที่ซับซ้อนและครอบคลุมมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ บริษัทจึงต้องปรับยุทธศาสตร์เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำตลาด โดยในไตรมาส 3/2568 คาดการณ์ว่าผลประกอบการจะเติบโตขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า เนื่องจากมีการเติบโตของวอลุ่มที่ดี พร้อมตั้งเป้าผลักดันกำไรแตะระดับ 1 พันล้านบาท ในปี 2573 ส่วนเป้าหมายดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้มองไว้ที่ 1,290 จุด และปีหน้าที่ระดับ 1,370 จุด

โดยการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เร่งให้นักลงทุนหันสู่ดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการสื่อสาร การชำระเงิน และการลงทุน จากเดิมที่นักลงทุนต้องพึ่งพาผู้แนะนำการลงทุน (IC) ปัจจุบันสามารถใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ตัดสินใจได้เอง เมย์แบงก์จึงเร่งพัฒนาโครงสร้างดิจิทัลเพื่อรองรับความต้องการใหม่ และในปี 2564 บริษัทได้เริ่มกระบวนการ Digital Transformation เปิดตัวแอปพลิเคชันสำหรับบริการลูกค้าแบบครบวงจร ทั้งการซื้อขาย การลงทุน และการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินโดยไม่ต้องติดต่อสาขา แอปพลิเคชันนี้เปิดตัวในปี 2565 และได้รับการอัปเกรดต่อเนื่อง โดยเวอร์ชันใหม่ที่จะเปิดตัวในปีหน้าจะเพิ่มขีดความสามารถด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมการลงทุนของลูกค้า

ทั้งนี้ เทคโนโลยี AI จะวิเคราะห์ “Persona” ของนักลงทุนแต่ละราย เพื่อจัดสรรกลยุทธ์การลงทุนที่ตรงกับเป้าหมายจริง เช่น นักลงทุนที่มองว่าตนเอง Conservative แต่กลับลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงสูง AI จะปรับสมดุลและให้คำแนะนำที่เหมาะสม พร้อมระบบ Health Score ที่ทำงานเสมือน “การตรวจสุขภาพทางการเงิน” หากลูกค้าได้ระดับ A แสดงว่าพอร์ตแข็งแรง แต่หากอยู่ระดับ C จะมีคำแนะนำชัดเจนว่าควรปรับอย่างไร

ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญความท้าทาย ทั้งการชะลอตัวของ GDP และหนี้ครัวเรือนสูง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามกลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้การแข่งขันในภูมิภาคเข้มข้นขึ้น นอกจากนี้ตลาดทุนไทยยังต้องเผชิญแรงกดดันจากผู้เล่นดิจิทัลรายใหม่ที่ใช้กลยุทธ์ค่าธรรมเนียมต่ำหรือศูนย์เปอร์เซ็นต์ บริษัทจึงเร่งสร้าง “สเกลธุรกิจ” (Scale) เพื่อให้แข่งขันได้ในระยะยาว เพราะธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถสร้างกำไรหรือยืนหยัดได้ในยุคปัจจุบัน

”ธุรกิจโบรกเกอร์ยุคใหม่ต้องการขนาดและกลยุทธ์ที่ชัดเจน บริษัทฯจึงแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจนทั้งรายย่อย สถาบัน และกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง โดยใช้ดิจิทัลเป็นเครื่องมือสำคัญ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงความเสี่ยง แต่เป็นโอกาสที่เราจะขึ้นมาเป็นผู้นำได้ หากบริษัทปรับตัวได้เร็วกว่าคู่แข่ง“ นายอารภัฏ กล่าว

ด้านธุรกิจสถาบัน (Institutional) เดิมเป็นเพียงส่วนเสริมและแทบไม่สร้างกำไร แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา MST ได้ปรับโครงสร้างทีมงานและสร้างความร่วมมือกับเครือข่ายต่างประเทศ จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดนักลงทุนสถาบัน และคว้ารางวัลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 20 ปี

ส่วนธุรกิจวาณิชธนกิจ (IB) บริษัทได้ “รื้อใหม่หมด” จากเดิมที่เน้นรายได้ค่าธรรมเนียม IPO ขนาดใหญ่ ปัจจุบันค่าธรรมเนียมลดลง จึงขยายบริการไปสู่การควบรวมกิจการ (M&A) การให้คำปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory) และการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ (Underwriting) โดยในปีที่ผ่านมา MST ครองอันดับหนึ่งด้านจำนวน IPO แม้ภาพรวมตลาดจะมีจำนวนน้อยก็ตาม

สำหรับการดูแลลูกค้า บริษัทให้ความสำคัญกับ Wealth Management ซึ่งในประเทศไทยยังไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่เน้นสิทธิพิเศษและกิจกรรม แต่ขาดการให้คำแนะนำด้านการลงทุนที่แท้จริง ทั้งที่สิ่งที่ลูกค้าต้องการคือ “ผลตอบแทน” และ “การลงทุนที่ถูกต้อง” มากกว่ารูปแบบสิทธิประโยชน์ เมย์แบงก์จึงวางเป้าหมายว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การเป็น “Advisory ที่แท้จริง” ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ตั้งแต่ Mass Affluent, High Net Worth ไปจนถึง Super High Net Worth โดยมีทีม IC มืออาชีพที่ทำงานอย่างใกล้ชิด

ด้านบุคลากร บริษัทเน้นคัดสรรคนที่มีศักยภาพสูง ไม่เพียงแค่หลีกเลี่ยงบุคลากรที่ผลงานต่ำ แต่แม้แต่ผู้ที่มีผลงานเพียงระดับปานกลางก็ไม่เพียงพอ เพราะ MST ต้องการเฉพาะ “คนเก่งที่สุด” เพื่อดูแลลูกค้าที่ถือเป็นทรัพย์สินสำคัญที่สุด การลงทุนด้านบุคลากรและเทคโนโลยีใช้งบประมาณหลักร้อยล้านบาท แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือผลกำไรเติบโตต่อเนื่อง

นอกจากนี้ บริษัทมีทีมวิจัย (Research) และ CIO Office ทำหน้าที่ออกแบบผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ครอบคลุมทั้งหุ้นไทย กองทุนโลก และสินทรัพย์ใหม่ ๆ ที่ซับซ้อน การมีโครงสร้างแบบนี้ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือโบรกเกอร์ทั่วไปที่ไม่สามารถลงทุนกับทีมงานคุณภาพสูงได้

อย่างไรก็ตาม ผลจากการลงทุนเชิงรุก ทำให้บริษัทสร้างกำไรได้แม้ในช่วงปี 2565-2567 ที่ตลาดทุนไทยซบเซา ปริมาณซื้อขายลดลงจากวันละ 60,000–65,000 ล้านบาท เหลือเพียง 40,000 ล้านบาท แต่ MST ยังคงสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและขยายฐานลูกค้าหลายแสนบัญชี โดยมีบัญชีที่ใช้งานจริงอยู่ในระดับหลักแสน สะท้อนความแข็งแกร่งและความต่อเนื่องของฐานลูกค้า

นายอารภัฏ กล่าวย้ำว่า เป้าหมายของเมย์แบงก์ (ประเทศไทย) คือการสร้างองค์กรที่ยืนหยัดได้ทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขาลง ด้วยการสร้างรายได้ที่สมดุลจากค่าคอมมิชชั่น ผลงาน IB และผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ พร้อมดึงดูดบุคลากรคุณภาพเข้าสู่ทีม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งและก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน

Back to top button