ONSENS เคาะราคาไอพีโอ 2.05 บาท เทรด SET 7 ต.ค.นี้ ระดมทุน 164 ล้าน ขยายสาขา “ทองหล่อ”

ONSENS เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ 80 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.05 บาทต่อหุ้น ระดมทุน 164 ล้านบาท เข้าเทรด SET วันที่ 7 ต.ค.นี้ กางแผนขยายสาขา Social Wellness Space ย่านทองหล่อ วงเงิน 120 ล้านบาท


นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ONSENS เปิดเผยว่า ONSENS จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 26.67 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังการเพิ่มทุน โดยแบ่งเป็นหุ้นเสนอขายให้กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานจำนวน 8 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อประชาชนทั่วไปจำนวน 72 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.05 บาท รวมมูลค่าการระดมทุนทั้งสิ้น 164 ล้านบาท

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ลงทุนโครงการ Social Wellness Space ย่านทองหล่อ วงเงินประมาณ 120 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปจองซื้อหุ้น IPO ระหว่างวันที่ 29-30 กันยายน และวันที่ 1 ตุลาคม 2568 ก่อนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดการท่องเที่ยวและสันทนาการ ภายใต้ชื่อย่อ “ONSENS” ในวันที่ 7 ตุลาคม 2568

นายสมภพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ONSENS ถือเป็นผู้บุกเบิกการให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นและสปาครบวงจรในประเทศไทยมากว่า 13 ปี ภายใต้แบรนด์ Yunomori Onsen & Spa และยังขยายแบรนด์ใหม่ เช่น Klai และ Pak Massage เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าหลากหลายกลุ่ม บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีเกือบร้อยละ 19 และรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ในระดับสูงที่ร้อยละ 40-45 อีกทั้งมีฐานะการเงินมั่นคง โดยมีอัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเพียง 0.3 เท่า ก่อนการระดมทุนครั้งนี้

ทั้งนี้ กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมกว่า 99% ได้แสดงเจตจำนงสมัครใจ (Voluntary Lock-up) ที่จะไม่จำหน่ายหุ้นเพิ่มเติมนอกเหนือจากข้อกำหนด Silent Period ของตลาดหลักทรัพย์ เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าการลงทุนใน ONSENS เป็นการลงทุนระยะยาวบนพื้นฐานธุรกิจที่มั่นคง

อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ ONSENS ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพียงโครงการขนาดใหญ่ในอนาคตเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจปัจจุบันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ใช้บริการและค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน (Spending per Head) ที่ขยายตัวอย่างสม่ำเสมอ แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวก็ยังไม่ปรากฏการลดลง สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์และความต้องการของตลาดที่ชัดเจน

สำหรับการเปิดสาขาใหม่ขนาดกลางและขนาดเล็ก เช่น Klai และ Pak ใช้เงินลงทุนไม่สูงมากอยู่ในช่วงหลักล้านต้น ๆ ถึงสิบล้านบาท ทำให้สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มสัดส่วนรายได้เสริมจากฐานเดิม ขณะที่สาขาทองหล่อแม้จะเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ แต่จากประสบการณ์ความสำเร็จในการขยายสาขาที่สุขุมวิทและสาธร ซึ่งสามารถคืนทุนและมีกำไรภายใน 3 เดือน บริษัทเชื่อมั่นว่าสาขาทองหล่อจะสามารถบรรลุเป้าหมาย Break-even และสร้างผลกำไรได้ในระยะเวลาใกล้เคียงกัน

โดยกลยุทธ์ดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตทั้งจากการต่อยอดธุรกิจเดิมและการขยายสาขาใหม่ โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นผู้นำในธุรกิจ Wellness Space ที่มอบประสบการณ์ครบวงจรด้านสุขภาพและการผ่อนคลายให้กับลูกค้าอย่างแตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นในตลาด

ด้าน นายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ONSENS เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับการเติบโตของบริษัท หลังดำเนินธุรกิจมากว่า 13 ปีในฐานะผู้ให้บริการออนเซ็นสไตล์ญี่ปุ่นครบวงจรรายแรกของไทย โดยบริษัทมุ่งเน้นการส่งต่อประสบการณ์ด้านสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Wellness) ภายใต้แบรนด์ Yunomori Onsen & Spa และ KLAI ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพทั้งย่านธุรกิจและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้มีฐานลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทมีแผนลงทุนเปิดสาขาใหม่ภายใต้แบรนด์ Yunomori บนถนนทองหล่อ ซึ่งจะพัฒนาเป็น Social Wellness Space แห่งแรกของกรุงเทพฯ และเป็น Flagship Store แห่งใหม่ โดยจะผสานบริการด้านสุขภาพและไลฟ์สไตล์อย่างครบวงจร ขณะเดียวกันบริษัทจะนำเงินบางส่วนไปชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายขยายสาขาภายใต้แบรนด์ KLAI และ PAK เพิ่มอีก 7 แห่งภายในปี 2570 เพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าใหม่และครอบคลุมฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น

โดยการเสนอขายหุ้นไอพีโอในครั้งนี้ บริษัทแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ฟินเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย พร้อมผู้จัดจำหน่ายและรับประกันกาาจัดจำหน่ายอีก 4 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน)

ด้านจุดแข็งสำคัญของธุรกิจว่า บริษัทมีฐานลูกค้าคนไทยที่แข็งแกร่งคิดเป็นสัดส่วนราว 50% โดยเฉพาะสาขาในทำเลสำคัญอย่างสุขุมวิทและสาธร ขณะที่ลูกค้าต่างชาติซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นและเกาหลี รวมถึงชาวต่างชาติที่ทำงานในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนราว 65-70% และนักท่องเที่ยวประมาณ 30% ความสมดุลของฐานลูกค้าทั้งในและต่างประเทศนี้ ถือเป็นภูมิต้านทานที่สำคัญของบริษัทในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ธุรกิจสปาในประเทศไทยกว่า 80% ต้องปิดกิจการ แต่บริษัทสามารถฝ่าวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่ง และกลับมาฟื้นตัวเป็นกำไรภายในเวลาเพียงหนึ่งปีหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของกลยุทธ์และการวางตำแหน่งทางธุรกิจที่แตกต่างจากคู่แข่ง

เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่น ผู้บริหารระบุว่า จุดเด่นของ ONSENS อยู่ที่รูปแบบการให้บริการซึ่งไม่เหมือนสปาทั่วไป บริษัทมองตนเองในฐานะผู้ให้บริการ “Wellness Space Operator” ที่สร้างพื้นที่สำหรับการดูแลสุขภาพและการพักผ่อนจากความวุ่นวายในชีวิตเมือง โดยใช้โมเดลการให้บริการแบบ Day Pass ซึ่งเปิดโอกาสให้ลูกค้าใช้เวลาได้ตามต้องการ ไม่จำกัดรูปแบบการใช้บริการเพียงห้องหรือแพ็กเกจที่ตายตัว นอกจากนี้ แบรนด์ภายใต้เครือ ONSENS ทั้ง Yunomori Onsen & Spa, Klai และ Pak Massage ต่างมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น ไม่เหมือนสปาทั่วไปในตลาดที่มีภาพลักษณ์คล้ายคลึงกัน การสร้าง Brand Identity ที่แตกต่างนี้จึงกลายเป็นปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ชัดเจนและได้รับความนิยมต่อเนื่อง

อีกทั้งบริษัทให้ความสำคัญกับทำเลที่ตั้ง โดยสาขาทุกแห่งถูกออกแบบให้เป็นสปาแบบ Stand Alone ไม่ได้ตั้งอยู่ในโรงแรมหรือศูนย์การค้า ทำให้ ONSENS ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการดึงดูดลูกค้าจากผู้ประกอบการรายอื่น แต่สามารถสร้างฐานลูกค้าที่ตั้งใจเดินทางมาใช้บริการโดยเฉพาะ ส่งผลให้ ONSENS ถูกมองว่าเป็น “Destination Spa” ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งและศักยภาพของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน

ปัจจุบันอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ของบริษัทอยู่ในระดับประมาณ 40-45% ซึ่งถือเป็นระดับที่แข็งแกร่ง และบริษัทมีนโยบายรักษาอัตราดังกล่าวไม่ให้ต่ำกว่านี้ โดยคาดว่าในอนาคตมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แม้ในช่วงเปิดสาขาใหม่อาจมีค่าใช้จ่ายคงที่เข้ามากระทบบ้าง แต่หลังจากที่สาขาสามารถสร้างรายได้อย่างเต็มที่แล้ว อัตรากำไรขั้นต้นจะปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ

ขณะเดียวกัน ในส่วนของอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) บริษัทมองว่า เมื่อจำนวนสาขาและรายได้เพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการบริหารซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับยอดขายจะทยอยลดลงในสัดส่วนต่อรายได้ ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิของบริษัทมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในอนาคต ทั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตและความสามารถในการทำกำไรที่ยั่งยืนของบริษัท

ส่วนปัจจัยเสี่ยงทึ่อาจกระทบต่อธุรกิจ มองว่าจะเป็นปัจจัยที่ไม่อาจควบคุมได้ เช่น การกลับมาของโรคติดต่อในลักษณะเดียวกับโควิด-19 อย่างไรก็ตาม หากไม่นับปัจจัยดังกล่าว ความเสี่ยงสำคัญอีกประการคือเรื่องบุคลากร เนื่องจากธุรกิจต้องใช้พนักงานจำนวนมากในการให้บริการ บริษัทจึงได้วางแผนรองรับผ่านการพัฒนาบุคลากรภายใน โดยจัดตั้งสถาบันอบรม (Academy) เพื่อฝึกอบรมพนักงานทั้งที่มีและไม่มีประสบการณ์ให้สามารถให้บริการตามมาตรฐานของบริษัท พร้อมทั้งจัดสวัสดิการที่เหมาะสม สร้างเส้นทางอาชีพที่มั่นคง และดูแลให้พนักงานสามารถเติบโตไปพร้อมกับองค์กร

นอกจากนี้ บริษัทได้ร่วมมือกับสถาบันการศึกษา อาทิ สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และสถาบันอื่น ๆ เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรรองรับการขยายสาขาในอนาคต ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเตรียมความพร้อมและการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านทรัพยากรบุคคลอย่างเป็นระบบ เพื่อเสริมความมั่นคงและศักยภาพการเติบโตระยะยาวของธุรกิจ

Back to top button