
CGSI ชู MOSHI-CPAXT เด่น รับอานิสงส์ “คนละครึ่งพลัส” หนุนยอดขาย Q4 โต
CGSI มองกลุ่มค้าปลีกยังอ่อนแรง ยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เดือนก.ย.ชะลอตัวจากปัจจัยวันหยุดและฐานสูง คาดทั้งไตรมาส 3/68 ยังไม่ฟื้น ขณะที่ MOSHI-CPAXT เด่นสุดรับอานิสงส์โครงการคนละครึ่งในไตรมาส 4/68
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์ว่า ยอดขายสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) ของกลุ่มค้าปลีกในเดือนกันยายน 2568 มีแนวโน้มชะลอตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม จากผลของปัจจัยเชิงฤดูกาล (calendar effect) และฐานที่สูงในปีก่อน โดยเดือนกันยายนมีวันหยุดเพียง 8 วัน เทียบกับ 9 วันในปีก่อนหน้า ขณะที่เดือนสิงหาคม 2568 ได้รับอานิสงส์จากวันหยุดยาว 12 วัน เทียบกับ 10 วันในปีก่อน ทั้งนี้ ยอดขายในวันหยุดมักสูงกว่าวันปกติราว 10-20% ส่งผลให้อัตราการสร้างรายได้ (run rate) เดือนกันยายนลดลง
นอกจากนี้ ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายน ยังได้รับผลกระทบจากฐานสูงในปีก่อน เนื่องจากมีการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งช่วยกระตุ้นยอดขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหารในร้านค้าประเภทไฮเปอร์มาร์เก็ตและร้านไลฟ์สไตล์ หากไม่รวมปัจจัยดังกล่าว ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่า SSSG ตลอดช่วงไตรมาส 3/68 จะทรงตัว โดยสะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อยังไม่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
CGSI ประเมินว่า SSSG ของผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่ในไตรมาส 3/68 จะติดลบ ยกเว้น MOSHI ที่เติบโต 5.3%, MegaHome บวก 0.8% และ Makro บวก 0.2% ส่วน Lotus’s คาดว่ามี SSSG เป็นบวกเล็กน้อยที่ 0.2% จากแรงหนุนของธุรกิจในมาเลเซีย แม้ว่าธุรกิจในไทยยังมี SSSG ติดลบที่ 2.5% โดยเฉพาะกลุ่ม home improvement ซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุดจากอุปสงค์สินค้าวัสดุก่อสร้างที่ยังชะลอ
สำหรับ MegaHome ที่ยังมียอดขายขยายตัวเล็กน้อย มาจากสาขาแบบ hybrid ที่เปิดร่วมกับ HomePro ซึ่งส่งผลให้ยอดขายรวมอยู่ใน SSSG ของ MegaHome ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าข้อมูลดังกล่าวสะท้อนถึงอุปสงค์สินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้าก่อสร้างที่ยังอ่อนแรง และการเติบโตส่วนหนึ่งมาจากรายการทางบัญชีชั่วคราวเท่านั้น
ส่วนแนวโน้มไตรมาส 4/68 คาดว่าโครงการ “คนละครึ่ง” ของรัฐบาลที่จะเริ่มในเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม จะทำให้ยอดขายค้าปลีกผันผวน โดยหากร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ไม่เข้าร่วมโครงการเหมือนเดิม ผู้บริโภคจะหันไปซื้อสินค้าจากร้านโชห่วยแทน ซึ่งจะกระทบต่อยอดขายของผู้ประกอบการ modern trade โดยเฉพาะ CPALL ที่พึ่งพาสินค้าประจำวันเป็นหลัก รองลงมาคือกลุ่ม supermarket และ hypermarket
ในทางกลับกัน CPAXT อาจเป็นผู้ได้รับประโยชน์ เนื่องจาก 22% ของยอดขาย Makro ในครึ่งปีแรกมาจากร้านโชห่วย ซึ่งสามารถชดเชยผลกระทบของ Lotus’s ได้บางส่วน ขณะที่ BigC แม้ได้แรงหนุนจากแฟรนไชส์ “โดนใจ” ราว 2% ของยอดขายรวม แต่ยังไม่เพียงพอต่อการชดเชยผลประกอบการที่อ่อนตัวของ BigC Mini และ supermarket ทำให้ภาพรวม CPAXT ยังมีแนวโน้มดีกว่าคู่แข่งในไตรมาสสุดท้ายของปี
นอกจากนี้ CGSI ประเมินว่าผู้ค้าปลีกสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น MOSHI จะได้อานิสงส์ทางอ้อมจากโครงการคนละครึ่ง เพราะผู้บริโภคอาจนำเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายในร้านโชห่วย ไปซื้อสินค้าประเภทของใช้ส่วนตัวหรือของตกแต่งราคาต่ำในร้านค้าสมัยใหม่ ขณะที่ผู้ค้าสินค้า home improvement จะไม่ได้รับประโยชน์ เนื่องจากสินค้ามียอดซื้อต่อบิลสูงและขาดปัจจัยกระตุ้นในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่า แม้ MOSHI และ CPAXT มีโอกาสสร้างผลบวกเฉพาะตัว แต่กลุ่มค้าปลีกโดยรวมยังขาดแรงขับเคลื่อนหลักจากเศรษฐกิจภายในประเทศ การบริโภคยังฟื้นตัวช้า มาตรการรัฐมีผลจำกัด และยังมีปัจจัยลบเชิงโครงสร้างร่วมด้วย อีกทั้งมูลค่าหุ้นในกลุ่มอยู่ในระดับสูงและมีความเสี่ยงด้านกำไร จึงคงคำแนะนำ “Neutral” ต่อกลุ่มค้าปลีก โดยมอง upside risk จากการที่ผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง หรือการผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วกว่าคาด และ downside risk จากการบริโภคที่ซบเซา รวมถึงเงินบาทแข็งค่าซึ่งอาจฉุดการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว