
ONSENS ย้ำเป้า 3 ปี กำไรโตเฉลี่ย 15% ลุยขยายสาขา “ทองหล่อ” เจาะกลุ่มพรีเมียม
ONSENS เปิดแผนขยายธุรกิจ 3 ปีหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ ทุ่มงบ 240 ล้านเปิด Flagship ทองหล่อ พร้อมเดินหน้าขยายอีก 7 สาขา ตั้งเป้าโตเฉลี่ยเลขสองหลัก มั่นใจเทรนด์ Wellness หนุนธุรกิจโตยั่งยืน
นายสมิทธิ์ เมฆอรุณกมล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออนเซ็น รีทรีต แอนด์ สปา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ONSENS เปิดเผยว่า บริษัทขอบคุณที่ได้รับการตอบรับอย่างอบอุ่นจากนักลงทุนภายหลังการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งนับเป็น “Chapter 1” ของการเดินหน้าขยายธุรกิจในระยะยาว โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการยกระดับองค์กรจากธุรกิจที่เติบโตจากผลกำไรสะสมและเงินทุนภายใน สู่การใช้ตลาดทุนเป็นกลไกสำคัญในการขยายธุรกิจและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรม Wellness
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์จะนำไปใช้ลงทุนในโครงการขยายสาขาใหม่จำนวนรวม 8 สาขา ภายในช่วงปี 2568–2570 โดยประกอบด้วยแบรนด์หลัก “ยูโนะโมริ ออนเซ็น แอนด์ สปา” (Yunomori Onsen & Spa) ซึ่งเตรียมเปิดสาขาใหม่ย่านทองหล่อ เป็น Flagship Branch แห่งใหม่ของกลุ่ม ใช้งบลงทุนประมาณ 240 ล้านบาท และจะเป็นต้นแบบการให้บริการระดับพรีเมียมที่รวมวัฒนธรรมออนเซ็นญี่ปุ่นเข้ากับศาสตร์การนวดไทยอย่างกลมกลืน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนขยายสาขาในอีกสองแบรนด์คือ “KLAI” และ “พัก” (PAK) รวม 7 สาขา โดยจะคัดเลือกทำเลศักยภาพในพื้นที่เมืองใหญ่และหัวเมืองท่องเที่ยว เพื่อเจาะตลาดลูกค้าที่หลากหลาย ทั้งกลุ่มครอบครัว กลุ่มนักท่องเที่ยว และคนทำงานในเมือง โดยแต่ละแบรนด์จะถูกวางตำแหน่งแตกต่างกัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในแต่ละเซกเมนต์ได้ครบถ้วน ตั้งแต่ระดับ Mass Premium ไปจนถึง High-End
นายสมิทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งเป้าอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ในช่วงปี 2568–2570 ให้อยู่ในระดับ “Double Digit” หรือราว 10–15% ซึ่งสูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของอุตสาหกรรม Wellness โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 18.7% และคาดว่าจะสามารถรักษาอัตรานี้ต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง
โดยการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ถือเป็นการ “ปลดล็อกข้อจำกัด” ด้านเงินทุนในอดีต เพราะที่ผ่านมาบริษัทขยายกิจการจากกำไรสะสมและเงินทุนภายในเป็นหลัก แต่จากนี้ไป บริษัทจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในตลาดทุนและสถาบันการเงินเพื่อรองรับการขยายสาขาและลงทุนในโครงการใหม่ได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยเร่งการเติบโตให้เกิดขึ้นในอัตราที่รวดเร็วและมั่นคงกว่าเดิม
สำหรับอุตสาหกรรม Wellness และสปาในประเทศไทยมีมูลค่ารวมกว่า 600,000–700,000 ล้านบาทต่อปี และถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของประเทศ ทั้งจากศักยภาพของบุคลากร ฝีมือการนวดของคนไทย และความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับกระแสโลกที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพกายและใจหลังยุคโควิด-19
ขณะที่ในส่วนของลูกค้าปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยประมาณ 70% และลูกค้าต่างชาติ 30% โดยลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และไต้หวัน ซึ่งนิยมบริการออนเซ็นและสปาในรูปแบบ “Private Relaxation Experience” ที่ให้ความเป็นส่วนตัวและผสมผสานความเป็นไทยเข้ากับมาตรฐานญี่ปุ่น
“จุดเด่นของยูโนะโมริ คือ การนำวัฒนธรรมออนเซ็นแบบญี่ปุ่นมาผสมผสานกับศาสตร์การนวดของไทยอย่างลงตัว ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แม้แต่ต้นฉบับจากญี่ปุ่นเองก็ไม่มี เพราะในญี่ปุ่นค่าแรงสูงและบริการสองรูปแบบมักแยกกัน แต่ยูโนะโมรินำทั้งสองอย่างมารวมกันได้อย่างมีเอกลักษณ์ จึงมอบประสบการณ์ที่แตกต่างและพรีเมียมกว่าที่อื่น” นายสมิทธิ์ กล่าว
สำหรับนโยบายด้านผลตอบแทนผู้ถือหุ้น บริษัทกำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิประจำปี เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และสะท้อนการเติบโตของผลประกอบการอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นายสมิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ในครั้งนี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่คือจุดเริ่มต้นของการขยายธุรกิจสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม Wellness ของไทย และต่อยอดสู่ระดับภูมิภาคในอนาคต เราเชื่อว่าความหลากหลายของแบรนด์ในเครือและความเข้าใจในผู้บริโภคจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจช่วงครึ่งหลังปี 2568 มีแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้บริการของ Yunomori และ KLAI ที่เพิ่มสูงขึ้น การสื่อสารการตลาดและบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจที่มีจำนวนผู้ใช้บริการสูงกว่าทุกช่วงของปี ส่งผลให้การรับรู้รายได้และอัตราการทำกำไรของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในเกณฑ์ดีด้วยเช่นกัน