
กสทช. สั่งคุมเข้มสัญญาณมือถือ ห้ามล้ำเขตแดน ใช้เทคนิคจำกัด Cell Radius
สำนักงาน กสทช. กำชับเข้มผู้ให้บริการโทรคมนาคมห้ามไม่ให้สัญญาณโทรศัพท์ล้ำข้ามประเทศ เปิดทางใช้เทคนิคจำกัดรัศมีการให้บริการ Cell Radius ตีกรอบสัญญาณอยู่ในประเทศ
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา ได้เข้าร่วมประชุมคณะกรรมการอำนวยการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และได้สั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) กำชับผู้ให้บริการโทรคมนาคมห้ามมิให้นำโครงข่ายโทรคมนาคมหรือนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้รับใบอนุญาตไปใช้ในการประกอบธุรกิจโดยมิชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าทางตรง และทางอ้อม สำนักงาน กสทช. จึงได้เชิญผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมเข้าร่วมประชุมเร่งด่วน เพื่อรับทราบและให้ปฏิบัติตามมาตรการต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด ดังนี้
1.มาตรการสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ (เสาสัญญาณ) บริเวณชายแดน ให้ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมดำเนินการตามมาตรการการควบคุมความสูงสายอากาศของสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่บริเวณชายแดนที่ได้ออกมาตรการไปก่อนหน้านี้ และให้ใช้เทคนิค “การจำกัดรัศมีการให้บริการ หรือ Cell Radius” บริเวณชายแดน ซึ่งการใช้เทคนิคดังกล่าวสามารถกำหนดขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่จากสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่แต่ละแห่ง โดยไม่ต้องจำกัดความสูงของจุดติดตั้งสายอากาศ แต่เป็นการจำกัดการใช้งานของอุปกรณ์ผู้ให้บริการให้อยู่ภายในรัศมีที่กำหนดไว้เป็นระยะทางจากสถานีฐาน ซึ่งการใช้เทคนิคดังกล่าวสามารถควบคุมไม่ให้สัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ล้ำข้ามไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้
2.สำนักงาน กสทช. สั่งกำชับให้ผู้รับใบอนุญาตที่ให้บริการโทรคมนาคมตรวจสอบคู่สัญญาบริการที่มีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมการใช้บริการที่มีความเสี่ยง หากตรวจพบให้ดำเนินการระงับบริการและแจ้งมายังสำนักงาน กสทช. ทันทีเพื่อนำไปขยายผล หากไม่ดำเนินการต้องมีส่วนร่วมรับผิดตามมาตรา 4/1 แห่งพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
- 3.สำนักงาน กสทช. สั่งกำชับให้ผู้รับใบอนุญาตที่ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศต้องไม่นำ IP address ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยไปให้บริการในต่างประเทศ
นายไตรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีกลายเป็นปัญหาระดับโลก และเป็นเรื่องสำคัญของไทยที่ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ และก่อปัญหาทางสังคมให้คนไทย นายกรัฐมนตรีได้สั่งกำชับเรื่องนี้ให้สำนักงาน กสทช. ดูแลเข้มงวด จึงได้เรียกผู้ประกอบการโทรคมนาคมมารับทราบและดำเนินการตามมาตรการที่สำนักงาน กสทช. ได้ออกมาอย่างต่อเนื่องตลอด ทั้งการลงพื้นที่ตรวจสอบสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่บริเวณชายแดน การกำหนดมาตรการลดความสูงสถานีฐานโทรศัพท์เคลื่อนที่ และจะมีการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้จำกัดสัญญาณโทรศัพท์ให้ใช้งานได้เฉพาะภายในเขตพื้นที่ประเทศไทยเพื่อไขปัญหาสัญญาณล้ำไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งกลุ่มอาชญากรอาจนำไปใช้ในการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะชายแดนประเทศกัมพูชา
โดยยังคงคุณภาพการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บริเวณชายแดนให้ประชาชนสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหากผู้รับใบอนุญาตไม่ดำเนินการหรือไม่ให้ความร่วมมือจะเป็นการกระทำผิดเงื่อนไขในการอนุญาตข้อ 12.16 ของประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตพึงระมัดระวังเท่าที่เป็นไปได้ในเชิงเทคโนโลยี
มิให้ผู้ใดนำโครงข่ายโทรคมนาคมหรือนำเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของผู้รับใบอนุญาตไปใช้ในการประกอบธุรกิจโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือเผยแพร่ซึ่งข้อมูลอันอาจขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน และต้องสนับสนุนหน่วยงานของรู้และเอกชนในการดำเนินการใด ๆ เพื่อปกป้องสิทธิของผู้บริโภคเพื่อความปลอดภัยของสังคม และความมั่นคงของรัฐและอาจเป็นผลให้ กสทช. พิจารณาพักใช้ เพิกถอน หรือสิ้นสุดใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ตามมาตรา 64 มาตรา 65 และ มาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544