
SCB EIC หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 68-69 ชี้ส่งออกหด-เงินเฟ้อติดลบ
SCB EIC คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวเพียง 1.8% และปีหน้า 1.5% เสี่ยงโตไม่ถึง 1% ในช่วงครึ่งหลังปีนี้ถึงต้นปีหน้า เหตุมาตรการภาษีสหรัฐฯ กดดันส่งออก การบริโภคยังอ่อนแรง หนี้ครัวเรือนสูง เงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 และ 2569 มีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.8% และ 1.5% ตามลำดับ โดยอาจขยายตัวไม่ถึง 1% ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ถึงครึ่งแรกของปีหน้า เนื่องจากการส่งออกเริ่มชะลอตัวหลังสหรัฐอเมริกาเก็บภาษีสินค้าจากไทยในอัตรา 19% ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและรายได้จากต่างประเทศ
แม้ตัวเลขส่งออกเดือนสิงหาคมยังขยายตัวได้ 5.8% แต่ส่วนใหญ่เป็นผลจากปัจจัยเฉพาะ ได้แก่ การเร่งส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ก่อนถูกเก็บภาษี และการส่งออกทองคำไม่ขึ้นรูปที่ได้อานิสงส์จากราคาทองคำสูง หากตัดปัจจัยเหล่านี้ออก ตัวเลขส่งออกแท้จริงหดตัวประมาณ -2% สะท้อนว่าผลของมาตรการภาษีสหรัฐฯ เริ่มส่งผลชัดเจน โดย SCB EIC คาดว่ามูลค่าส่งออกไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ต่อเนื่องถึงปี 2569 ยังเสี่ยงหดตัว ซึ่งจะเป็นแรงฉุดสำคัญต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ในส่วนของการบริโภคภาคเอกชนยังมีความเปราะบาง หนี้ครัวเรือนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/2568 ยังอยู่ที่ระดับสูง 86.8% แม้มีแนวโน้มลดลงแต่เกิดจากการชะลอการกู้ยืมและการเข้มงวดสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ขณะที่รายได้ครัวเรือนปรับลดลงเป็นครั้งแรกนับจากสถานการณ์โควิด-19 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอยู่ในระดับต่ำ แม้จะได้แรงหนุนระยะสั้นจากความชัดเจนทางการเมืองและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่
ด้านเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องตลอดปีนี้และปีหน้า จากราคาพลังงานโลกที่ลดลงและนโยบายช่วยลดค่าครองชีพ โดยเฉพาะราคาน้ำมันดีเซลที่คาดว่าจะเฉลี่ยต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตรในปี 2569 SCB EIC คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี 2568 จะติดลบ -0.1% ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี และปี 2569 จะอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.2% ต่ำกว่ากรอบเป้าหมายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 1-3%
SCB EIC เตือนว่า แม้ไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืดเต็มรูปแบบ แต่ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาก สะท้อนจากเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่อง 6 เดือน สัดส่วนสินค้าที่ราคาลดลงเพิ่มเป็น 43% ของตะกร้าเงินเฟ้อ รายได้ครัวเรือนที่ลดลง และภาระหนี้ที่ยังสูง ส่งผลให้อุปสงค์ภายในประเทศอ่อนแอ ภาคธุรกิจมีอำนาจขึ้นราคาสินค้าจำกัดและเผชิญการแข่งขันรุนแรงจากสินค้าจีนนำเข้า
สำหรับนโยบายรัฐบาลชุดใหม่ “อนุทิน 1” ภายใต้แนวคิด Quick Big Win มุ่งเน้นมาตรการกระตุ้นระยะสั้น เช่น “คนละครึ่ง พลัส” วงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท และงบกลางกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 1.5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ตาม SCB EIC ประเมินว่าผลต่อ GDP ยังจำกัด เนื่องจากเป็นงบจัดสรรจากโครงการเดิมและอาจรั่วไหลออกนอกระบบภาษี
ในด้านนโยบายการเงิน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.5% ในเดือนตุลาคมตามคาด โดย SCB EIC คาดว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง คือ เดือนธันวาคมและต้นปี 2569 ลงสู่ระดับ 1.0% เพื่อประคองเศรษฐกิจจากความเปราะบางของภาคธุรกิจและครัวเรือน
ขณะที่เศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอตัวจากผลกระทบของกำแพงภาษีสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น โดยสหรัฐฯ ขู่ขึ้นภาษีสินค้าจีนอีก 100% ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน ขณะเดียวกันหลายประเทศหลักมีแนวโน้มผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม ยกเว้นญี่ปุ่น เพื่อบรรเทาความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงในปี 2569

