
MTC เตรียมขายหุ้นกู้ 4 ชุด ดอกเบี้ยคงที่ 2.95-4% คาดจองซื้อ 24-26 พ.ย.นี้
MTC เตรียมขายหุ้นกู้จำนวน 4 ชุด พร้อมชูดอกเบี้ยคงที่ 2.95-4% คาดคาดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 24-26 พ.ย.นี้ ผ่าน 3 สถาบันการเงินชั้นนำ
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ใหม่จำนวน 4 ชุด ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และ ผู้ลงทุนสถาบัน (เฉพาะผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้นและให้จองซื้อในฐานะผู้ลงทุนทั่วไป) ประกอบด้วย หุ้นกู้อายุ 3 ปี อายุ 4 ปี อายุ 5 ปี 11 เดือน 29 วัน และอายุ 8 ปี คาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 24-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 หุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ “A-(tha)” โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2568
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างยื่นแบบแสดงรายงานข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้และร่างหนังสือชี้ชวน ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (“สำนักงาน ก.ล.ต.”) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อผู้ลงทุนทั่วไป และ ผู้ลงทุนสถาบัน (เฉพาะผู้ลงทุนสถาบันที่เป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้นและให้จองซื้อในฐานะผู้ลงทุนทั่วไป) โดยหุ้นกู้ MTC ทั้ง 4 ชุด มีรายละเอียด ดังนี้
- หุ้นกู้ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [2.95-3.05%] ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 2 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.15-3.25%] ต่อปี
- หุ้นกู้ชุดที่ 3 อายุ 5 ปี 11 เดือน 29 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ [3.50%] ต่อปี และ
- หุ้นกู้ชุดที่ 4 อายุ 8 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ [4.00%] ต่อปี
หุ้นกู้ MTC ทั้ง 4 ชุด มีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ เว้นดอกเบี้ยงวดสุดท้ายจะชำระในวันครบกำหนดไถ่ถอนของหุ้นกู้แต่ละชุด โดยคาดว่าจะเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 24 – 26 พฤศจิกายนพ.ศ. 2568 นี้ จองซื้อจำนวนขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท โดยวัตถุประสงค์การจากการออกและเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อไปใช้ชำระคืนหนี้จากการออกตราสารหนี้ (roll-over) และเพื่อขยายพอร์ตสินเชื่อของบริษัทฯ
นายปริทัศน์ เพชรอำไพ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่ร้อยละ 10–15 พร้อมคุมสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPL) ให้ไม่เกินร้อยละ 2.70 ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2568 บริษัทฯ มีสินเชื่อคงค้างจำนวน 174,807 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.43 จากสิ้นปี 2567 ที่มีสินเชื่อคงค้างจำนวน 164,242 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม 7,546 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.45 และร้อยละ 14.06 ตามลำดับ จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 6,832 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,444 ล้านบาท
และสำหรับผลการดำเนินงานทั้งปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้รวม 27,902 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 5,867 ล้านบาท เติบโตขึ้นร้อยละ 13.76 และร้อยละ 19.59 ตามลำดับ จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยสำหรับไตรมาส 2 ของปี 2568 บริษัทฯ ได้เปิดสาขาเพิ่มขึ้น จำนวน 130 สาขา ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีสาขาทั้งสิ้น 8,433 สาขา ซึ่งครอบคลุมทุกภูมิภาคของประเทศ นอกจากนี้ ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2568 บริษัทฯ ยังดำรงอัตราส่วนของสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต(ค้างชำระเกิน 3 เดือน) ต่อลูกหนี้เงินให้สินเชื่อทั้งหมด (NPL Ratio) ที่ร้อยละ 2.62 ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก ณ สิ้นปี 2567 ที่ร้อยละ 2.75 ทั้งนี้ Credit Cost ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.48 จากสิ้นปี 2567 ที่ร้อยละ 3.02
“เมืองไทย แคปปิตอล ยังคงมุ่งเน้นการบริการทางการเงินในมาตรฐานระดับสากลอย่างมีความรับผิดชอบและเป็นธรรม ควบคู่การดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม จนได้รับการจัดอันดับอยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน SET ESG Ratings ต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยได้รับการประเมินที่ระดับ AAA ในปี 2567 จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับผลการประเมินการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย ประจำปี 2567 จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors: IOD) ในระดับดีเลิศ (Excellent CG Scoring) หรือ 5 ดาว เป็นปีที่ 7 ติดต่อกันอีกด้วย ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้นำธุรกิจไมโครไฟแนนซ์ในมาตรฐานระดับโลก (World-class Thai Microfinance) ผ่านความร่วมมือกับสถาบันการเงินระดับโลก ได้แก่ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) รัฐบาลเยอรมนี (KfW DEG) บรรษัทการเงินระหว่างประเทศ (International Finance Corporation : IFC) ซึ่งเป็นสถาบันในกลุ่มธนาคารโลก (World Bank Group) ผ่านการลงทุนในหุ้นกู้เพื่อสังคมของบริษัทฯ เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยที่มีสุภาพสตรีเป็นเจ้าของ” นายปริทัศน์ กล่าว
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ MTC สามารถจองซื้อจำนวนขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณครั้งละ 100,000 บาท และสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ ดังนี้
- ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (ยกเว้นสาขาไมโคร) โทร. 1333 หรือจองซื้อผ่านแอปพลิเคชัน Bangkok Bank Mobile Banking สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่เป็นบุคคลธรรมดา
- ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (โดยบุคคลธรรมดาจองซื้อทางออนไลน์ผ่านhttps://www.kasikornbank.com/kmyinvest ยกเว้นบุคคลสัญชาติต่างด้าว และนิติบุคคล สามารถจองซื้อผ่านสำนักงานใหญ่และสาขา) โทร. 02-888-8888 กด 869 และรวมถึงบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะหน่วยงานขายของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Mobile Application – CIMB Thai) โทร. 02-626-7777
หมายเหตุ:
- บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้
- การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เงื่อนไขการจัดจำหน่ายเป็นไปตามที่กำหนดในร่างหนังสือชี้ชวน
คำเตือน:
- โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในร่างหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนตามรายละเอียดด้านล่าง


