
3 หุ้น “นอนแบงก์” วิ่ง! รับ “คลัง”คลอดแก้หนี้แสนล้าน ลด NPL ระบบลง 30%
MTC-SAWAD- TURBO กอดคอวิ่ง!รับคลัง-แบงก์ชาติ-สมาคมธนาคารไทย ผนึกเปิดโครงการแก้หนี้รายย่อยผ่าน AMC วงเงินแสนล้าน ปลดภาระหนี้ 3.4 ล้านราย คาดลด NPL ระบบได้ราว 30% ช่วยลูกหนี้กลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (4 พ.ย. 68) ราคาหุ้นกลุ่มนอนแบงก์ปรับตัวขึ้น ณ เวลา 10:19 น. นำโดย บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 41.00 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 1.86% สูงสุดที่ระดับ 41.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 40.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 53.36 ล้านบาท
บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 29.25 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 2.63% สูงสุดที่ระดับ 29.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 28.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 98.61 ล้านบาท
บริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.69 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 0.60% สูงสุดที่ระดับ 1.70 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.68 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.77 ล้านบาท
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า วานนี้ (3 พ.ย. 2568) คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจได้จัดประชุม “โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) ซึ่งเป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาล เนื่องจากปัจจุบันลูกหนี้รายย่อยบางส่วนกำลังประสบปัญหาทั้งด้านภาระหนี้สูง และเป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ทำให้เกิดหนี้ค้างชำระและมีเจ้าหนี้หลายราย และส่งผลให้ลูกหนี้ขอสินเชื่อเพิ่มไม่ได้
กระทรวงการคลัง จึงร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และภาคสถาบันการเงิน จัดทำโครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของ AMC เพื่อเร่งปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยลูกหนี้ปิดจบหนี้เร็วขึ้น และหลุดพ้นจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และกลับมามีประวัติการชำระหนี้ดีขึ้น กลุ่มเป้าหมายคือ ลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ NPLs ไม่มีหลักประกัน ที่มีหนี้ ณ วันที่ 30 ก.ย. 2568 กับสถาบันการเงินทุกแห่งรวมกันไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย ซึ่งในระบบมีจำนวน 3.4 ล้านราย หรือ 4.76 ล้านบัญชี มีภาระหนี้สูง 1.22 แสนล้านบาท โดยมีแนวทาง 2 กลุ่มดังนี้
- 1. กลุ่มที่ 1 ลูกหนี้ที่อยู่กับธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้บริษัทในกลุ่มธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ และลูกหนี้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ จะใช้กลไกการขายและโอนหนี้ให้กับ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) และกำหนดให้ AMC นำหนี้ดังกล่าวมาปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการลดดอกเบี้ย ไม่คิดดอกเบี้ยหรือค่าธรรมเนียมการจ่ายชำระเพียงบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ซึ่งต้องพิจารณาความเหมาะสมของลูกหนี้แต่ละราย
 - 2. กลุ่มที่ 2 เป็นการดำเนินการผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ที่ดำเนินการได้เอง ซึ่งเป็นหนี้กลุ่มเปราะบาง มากกว่าลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์ จะมีมาตรการบางส่วนเพื่อปิดบัญชี ลดเงินต้น ยกเว้นดอกเบี้ยทั้งหมด มาตรการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ที่ผ่อนปรนมากกว่าเกณฑ์ปกติของธนาคาร การปิดบัญชีและตัดเป็นหนี้สูญสำหรับลูกหนี้ขาดศักยภาพ
 
“การดำเนินการ 2 ส่วนนี้ คาดว่าจะมีบัญชีลูกหนี้เข้าข่ายได้รับความช่วยเหลือ 2.36 ล้านบัญชี จำนวนลูกหนี้กว่า 2 ล้านคน คิดเป็นภาระหนี้ 6.24 หมื่นล้านบาท ส่วนในเฟสที่ 2 จะไปโฟกัสหนี้ของผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร หรือ Non-Bank ที่ไม่ใช่บริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ และเมื่อดำเนินการจนแก้ปัญหาหนี้ได้แล้ว ธนาคารออมสินก็พร้อมปล่อยสินเชื่อเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้ลูกหนี้”
นายเอกนิติ กล่าวว่า วานนี้เป็นการอนุมัติในหลักการ แต่ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะต้องหารือร่วมกันและทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ MOU ซึ่งจะมีการกำหนดมาตรฐานกลางที่ AMC จะนำไปปฏิบัติ
ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือน เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากที่จะต้องได้รับการแก้ไข ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงที่ 87% ของจีดีพี โดยการแก้หนี้ครัวเรือนนี้ มีทั้งมิติของปริมาณและจำนวนคนที่เป็น NPL ซึ่งไม่สามารถกลับเข้าสู่ระบบได้ตามปกติ ทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้
ปัจจุบัน หนี้รายย่อยที่มีมูลค่าไม่เกิน 1 แสนบาทนั้น มีอยู่ราว 50% ของจำนวนลูกหนี้ที่เป็น NPL หรือคิดเป็นประมาณ 4.76 ล้านบัญชี โดยการอนุมัติในหลักการของที่ประชุมครม.เศรษฐกิจวันนี้ จะเป็นการแก้ปัญหาหนี้ในเฟสแรก หรือคิดเป็นลูกหนี้เกือบ 2 ล้านบัญชี ซึ่งจะโอนเข้าไปยัง AMC ทั้ง 2 แห่ง คือ SAM และ Ari-AMC เพื่อจัดการหนี้ เป็นการแก้หนี้ในรูปแบบผ่อนปรนอย่างมาก แต่ก็จะไม่ให้เสียวินัยการคลัง เพื่อช่วยปลดภาระแก่ลูกหนี้และสามารถกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ต่อไป
“ลูกหนี้จะจ่ายครั้งเดียวก็ได้ หรือจะผ่อนจ่ายโดยที่ไม่มีดอกเบี้ยก็ได้ ในจำนวนที่ลดลงมาก ๆ และในเงื่อนไขที่ผ่อนปรนมาก โดยจะเป็นมาตรการครั้งเดียว เพื่อป้องกันการเสียวินัยการเงิน หลังจากนี้จะนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม. (11 พ.ย.) และจะดำเนินการต่อไป” นายวิทัย กล่าว
นายวิทัย กล่าวอีกว่า สำหรับราคาที่ใช้ จะเป็นราคาที่ตกลงกันระหว่างธนาคารพาณิชย์ และมีโครงสร้างการแบ่งปันแชร์ลิ่ง เป็นราคามาตรฐาน โดยจะมีเกณฑ์กลางออกมา (เรื่องค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ยค้าง ค่าปรับ ยกเว้นไปก่อน) และสามารถผ่อนชำระ 3 ปี ไม่มีดอกเบี้ยก็ได้
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า โครงการนี้จะเริ่มโอนหนี้เข้า AMC ในช่วงเดือน ม.ค.ปี 2569 เนื่องจากมีขั้นตอนการแจ้งให้ลูกหนี้ทราบตามกฎหมายไม่ต่ำกว่า 60 วัน ลูกหนี้ที่ร่วมโครงการครั้งนี้ ทางเครดิตบูโรจะให้รหัสพิเศษเบอร์ 16 เป็นรหัสไม่ต้องรอ มีประวัติเครดิตดีจนครบ 3 ปี สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที หากพิจารณาแล้วว่ามีความเหมาะสมสามารถปล่อยสินเชื่อเพิ่มได้ โดยวันที่ 11 พ.ย.นี้ ธปท.กับ ธนาคาพาณิชย์จะเริ่มเซ็น MOU ในกระบวนการแก้หนี้
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ครั้งนี้ถือเป็นความพยายามที่ร่วมทำงานกันแบบรวมศูนย์ จากเดิมไม่เคยยึดลูกหนี้เป็นจุดศูนย์กลาง แต่ล่าสุดรัฐบาลมองปัญหานี้เป็นเรื่องระยะยาวที่ต้องแก้ปัญหาอย่างครบรอบด้านมองเป็นเชิงโครงสร้าง ทำให้การแก้ปัญหาหนี้ครบถ้วนรอบด้านเพราะมีการพัฒนาระบบข้อมูลที่เชื่อมโยงทั้งหมดร่วมกัน ทำให้ลูกหนี้ได้รับโอกาสที่จะได้รับแก้ไขบนความเหมาะสม มีการปรับโครงสร้างหนี้ที่ยืดหยุ่นมาก
“ต่อไปจะมีเฟส2 กลุ่ม Non-Bank ที่ไม่ได้เป็นบริษัทลูกธนาคารพาณิชย์ จะเป็นเฟสถัดไป”
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เผยว่า มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนล่าสุดของรัฐบาล เป็นปัจจัยบวกต่อระบบธนาคาร โดยคาดหวังว่าจะช่วยลด NPL ได้ 20–30% ของทั้งระบบ ขณะที่ บล.ดาโอฯ มองว่าจะช่วยให้ NPL รายย่อยลดลงในอนาคต เพราะรอบนี้เน้นแก้หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน โดยมี BAM และ SAM ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้การถือหุ้นของ กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) เข้ามาเป็นตัวกลาง
หากอ้างอิงจากข้อมูลก่อนหน้า ระบุว่าโครงการนี้จะใช้วงเงินเบื้องต้น 1 หมื่นล้านบาท จากเงินคงเหลือของโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ที่ยังมีอยู่ราว 26,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้ 7,000 ล้านบาท ใช้สำหรับซื้อหนี้ (คิดเป็น 5% ของหนี้รวม 123,000 ล้านบาท) และ 3,000 ล้านบาท เป็นค่าบริหารจัดการของ BAM และ SAM
ส่วนธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยไม่มีหลักประกันมากที่สุด คือ ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ประมาณ 7%, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY ประมาณ 6%, KBANK ประมาณ 6% และ SCB ประมาณ 5% (รวมบริษัทย่อย)
ด้านกลุ่ม Non-bank จะได้รับประโยชน์เช่นกัน เนื่องจากมีวงเงินรับซื้อหนี้ในสัดส่วนสูง โดยเฉพาะ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AEONTS และบริษัท เงินเทอร์โบ จำกัด (มหาชน) หรือ TURBO (สินเชื่อ Nano finance 20%), บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC (สินเชื่อไม่มีหลักประกัน 5-10%), บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD (สินเชื่อส่วนบุคคล 3%) รวมถึง BAM ซึ่งจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการดำเนินการครั้งนี้
				